Saturday, March 14, 2015

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย มองผ่านการถือครองที่ดิน


คำว่าพระเจ้าแผ่นดิน มันสะท้อนว่า สังคมไทยเรา ยังยอมรับความเป็นศักดินาแบบโบราณ เหมือนมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ  เราจึงไม่ค่อยจะสนใจไยดีกับความไม่เป็นธรรมรอบตัว หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นอย่างน่าเกลียด โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ที่นับวันจะถ่างไปอย่างน่าเกลียดและน่ากลัว  แถมคนที่ได้เปรียบ เป็นพวกเหลือบของประเทศ ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมลดลาวาศอก เปิดโอกาสให้ประชาชนมามีส่วนแชร์ทางอำนาจและความมั่งคั่งเอาเสียเลย ทั้งหลอก ล่อ ปลอบ กดขี่ ขูดรีด ข่มเหง และบี้กันทุกทางอย่างไม่อายสายตาชาวโลก เหมือนกรณีการใช้ทหารของพระราชาออกมาร่วมมือกับเครือข่ายพระราชายึดอำนาจประชาชนไปจัดระเบียบใหม่ เพื่อกระชับอำนาจให้พวกตนได้กดหัวประชาชนส่วนใหญ่อีกต่อไปอย่างไม่จบสิ้น  หากประชาชนไทย ไม่เข้าใจปัญหาเชิงชนชั้น อันมีอาการสำคัญที่เป็นอันตรายยิ่ง คืออาการรวยกระจุกแต่จนกระจาย และช่องว่างที่ถ่างเกินพอดีของโลกอันเจริญแล้วและมีสันติสุข เราจะไม่มีทางไปสู่การต่อสู้ที่ทำให้ประชาชนชนะ ได้อำนาจมาครองร่วมกัน แล้วเสวยสุขกับผลประโยชน์อันพึงมีร่วมกันในฐานะเจ้าของประเทศ ที่ควรมีสิทธิและส่วนแบ่งในอัตราที่เป็นธรรมและใกล้เคียงกัน

นอกจากพระราชาที่รวยล้นโลก แล้วบอกให้ประชาชนพอเพียงแล้ว เรายังต้องเข้าใจอีกว่า ระบอบการปกครองที่อำนาจไปรวมศูนย์ที่พระราชานี้ ทำให้พระราชาที่หลอกให้ประชาชนรัก เทิดทูน บูชา และจงรักภักดีแบบไม่สามารถตั้งคำถามได้นั้น ร่ำรวยมากกว่าคนไทยทุก ๆ คน ที่เอาทรัพย์สินมารวมแล้วแบ่งให้เท่า ๆ กัน ถึง 5.4 ล้านเท่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง


อีกตัวอย่างหนึ่งของการเหลื่อมล้ำ อันเป็นผลมาจากระบบศักดินาเก่า ที่ยังมีผลมาถึงสังคมไทยปัจจุบัน ผ่านพัฒนาการต่าง ๆ ที่ให้โอกาสคนที่ได้เปรียบ ฉกฉวยที่ดินของประชาชนในท้องที่ และในประเทศไปอยู่กับคนไม่กี่ตระกูลนั่นเอง โปรดดูข้อมูลที่เว็บไซต์กระปุก ได้เรียบเรียงไว้ดังนี้

10 ตระกูล-องค์กร ถือครองที่ดินมากสุดในประเทศ

อันดับ 1 ตระกูล "สิริวัฒนาภักดี" จำนวน 630,000 ไร่ โดยที่ดินแปลงใหญ่อยู่ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ประมาณ 12,000 ไร่ และใน อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา อีกประมาณ 15,000 ไร่ มีทั้งในนามส่วนตัว ครอบครัว และผ่านบริษัทต่าง ๆ

อันดับ 2 ตระกูลเจียรวนนท์ ของเจ้าสัวซีพี นายธนินท์ เจียรวนนท์ จำนวนไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่ ที่ดินแปลงใหญ่อยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 10,000 ไร่

อันดับ 3 บมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ผู้ดำเนินธุรกิจด้านน้ำมันปาล์มรายใหญ่ในภาคใต้ ถือครองที่ดินราว 44,400 ไร่

อันดับ 4 สำนักงานทรัพย์สินฯ จำนวน 30,000 ไร่

อันดับ 5 บมจ.ไออาร์พีซี จำนวน 17,000 ไร่

อันดับ 6 ตระกูลมาลีนนท์ จำนวน 10,000 ไร่

อันดับ 7 นายแพทย์บุญ วนาสิน จำนวน 10,000 ไร่

อันดับ 8 วิชัย พูลวรลักษณ์ จำนวน 7,000 ไร่

อันดับ 9 ตระกูลเตชะณรงค์ จำนวน 5,000 ไร่

อันดับ 10 ตระกูลจุฬางกูร จำนวน 5,000 ไร่

ขณะที่การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของนักการเมืองนั้น พบว่า

อันดับ 1 นายอำนาจ คลังผา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถือครองที่ดินจำนวน 2,030 ไร่

อันดับ 2 นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถือครองที่ดินจำนวน 2,000 ไร่

อันดับ 3 นายเสนาะ และนางอุไรวรรณ เทียนทอง ถือครองที่ดินจำนวน 1,900 ไร่

นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า ผู้ที่ถือครองที่ดินเกินกว่า 1,000 ไร่ขึ้นไป มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 837 ราย


มีหลายคนเชื่อกันว่า ประเทศไทยมั่งคั่งพอที่จะทำให้ทุกคนที่อาศัยบนแผ่นดินนี้ มีมาตรฐานชีวิตไม่ด้อยกว่าประเทศใดในโลก หากมีการจัดการทรัพยากรและผลประโยชน์อันพึงเกิดด้วยการทำธุรกรรมและกิจการต่าง ๆ บนแผ่นดินนี้ อย่างเป็นธรรมและสร้างสรรค์  ดังนั้น พี่น้องต้องเข้าใจว่า เราต้องเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองการปกครอง แล้วต้องให้ประชาชนเข้าไปจัดระบอบการปกครอง หรือกลไกอำนาจเสียใหม่ เพื่อจะได้ให้ประชาชนมีอำนาจบงการอำนาจ และชี้นิ้วเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตกอยู่กับประชาชนโดยมวลรวมมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้    การลุกขึ้นสู้ของประชาชน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการให้ลูกหลานลืมตาอ้าปาก และมีอนาคตอยู่ในสังคมอารยะ พัฒนาแล้ว ที่มาตรฐานการอยู่กิน มันสมฐานะมนุษย์ที่เกิดบนแผ่นดินที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรต่างๆ  เช่นประเทศไทย


No comments:

Post a Comment