Saturday, March 19, 2016

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 31 การเกิดและการสร้าง "ระบอบภูมิพล-เปรม"

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 31 การเกิดและการสร้าง "ระบอบภูมิพล-เปรม"

https://youtu.be/_Hysn1jdrEs

หรือ

https://youtu.be/x4z8fYxeAO8

หรือ

https://youtu.be/odSld8dB0T0

----------------------

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

 

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

เขาหาว่า ผมเป็น สายทหาร

แจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

ผมอ่านบทความนี้แล้ว ประทับใจ และอยากให้พี่น้องได้อ่าน แม้ตัวผมของก็โดนกล่าวหาว่าเป็น สาย ทหาร  จริงๆ ผมก็เป็น ทหาร ๆ ของประชาชน เป็นทหาร กองทัพ เสรีชน ที่จะต่อสู้ เพื่อ ประชาธิปไตย เพื่อ อนาคตของลูกหลานเรา และต่อต้าน เผด็จการ ทรราช คสช. ในทุกรูปแบบ  ..... ครับ

เสรีชน 
-
------------------------------------------------------

มีข่าวมาเตือนครับ
-
ตอนนี้ คสช กำลังเริ่มทำลายกลุ่มต่อต้านในโลกโซเชียลด้วยวิธีการใหม่
-
หลายๆคนที่ตามข่าวคงรู้กันแล้วนะว่าเกิดอะไรขึ้น แปดจะไม่ขอเล่ารายละเอียดทั้งหมดซ้ำ 
-
วิธีการใหมที่ คสช ใช้ คือ การสร้างข่าวลือต่างๆ เพื่อทำให้คนต่อต้านในโลกโซเชียลหมดความไว้เนื้อเชื่อใจกันเอง เริ่มต้นจากการยื่นข้อเสนอให้คนไทยในต่างแดนที่ติดม.112ให้ข้อมูลต่างๆของเพจหรือกลุ่มที่ต่อต้าน เพื่อแลกกับการกลับไทยแบบเงียบๆไม่ติดคดี112 และก็ยืนยันกับคนที่ได้ข่าวลือนี้ด้วยการจับแอดเพจเปิดประเด็นได้จริงๆ แล้วก็ปล่อยตัวมาให้หลายๆคนสงสัยในตัวเค้า (ซึ่งแปดเองก็สงสัยว่าทุกวันนี้ที่อ่านโพตสเค้า ใช่ตัวเค้าโพสต์เองจริงๆรึปล่าว)
-
จากนั้นก็มีข่าวลือใหม่มาว่า คสช กำลังจับตามองแดงเซเลป หรือคนในกลุ่มต่อต้านที่มีคนรู้จักเยอะๆในโลกโซเชียล แล้วเตรียมจับมาปรับทัศนะคติ เรื่องนี้แปดยืนยันได้ว่าจริงครับ แต่ข้อเท็จจริงคือมันจับตามองมานานแล้วครับ ไม่ใช่พึ่งมาจับตามองตอนนี้ พวกพี่เปิดหน้าเล่นขนาดนั้นใครมันจะไม่รู้ว๊ะ?
-
แต่ที่มาเป็นข่าวตอนนี้เพราะมันเอาจริงกับโลกโซเชี่ยลแล้ว
-
เตรียมตัวรับมือกันนะครับ แต่ถึงโดนจับได้พวกพี่ๆจะปลอดภัย เพราะสิ่งที่พวกมันต้องการจริงๆไม่ใช่การจับพวกพี่ๆไปปรับทัศนะคติ แต่มันต้องการจับเพื่อให้เป็นข่าว เพื่อให้คนอื่นสงสัยในตัวพี่ๆว่าพี่ไปรับข้อเสนอหรือให้ข่าวอะไรเชื่อมโยงถึงใครๆบ้าง
-
อย่าลืมว่า คสช ทั้งขอร้อง ทั้งเตือน ทั้งขู่ ทั้งจับจริง แต่ก็ยังหยุดกลุ่มต่อต้านในโลกโซเชียลไม่ได้ 
-
ถึงคสช จะไม่ใช่ผู้บริหารที่ดี แต่ทางด้านการทหาร การสร้างข่าว การหาข่าว การหาข้อมูลต่างๆ รวมถึงการเล่นสงครามทางจิตวิทยา เราสู้มันไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ
-
แผนการครั้งนี้ของ คสช แยบคายและเฉียบคมมาก เรื่องนี้แปดยอมรับจากใจจริง มันต้องการแบ่งเราเป็นกลุ่มเล็กๆ และก็ค่อยๆย่อยสลายไปทีละกลุ่ม ถ้าแผนการนี้สำเร็จ ฝ่ายต่อต้านจะไม่มีใครไว้ใจซึ่งกันและกัน จนในที่สุด ก็สลายหมดพลังกันไปเอง ซึ่งถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครที่จะมีกำลังใจสู้ต่อแล้ว
-
แปดก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไรยังไงนะ และปรกติแปดก็ไม่เคยขอร้องให้ใครเชื่อแปดด้วย แต่เรื่องนี้แปดขอร้องครับ จงเชื่อที่แปดบอก เตรียมตัวรับมือ หาวิธีสร้างความเชื่อใจกันให้ได้ อย่าทะเลาะกันออกสื่อถ้าไม่จำเป็น เพราะมันจะบั่นทอนกำลังใจคนอื่น
-
ตอนนี้โลกโซเชียลสำคัญมากนะครับ เราออกไปเป็นStreet Fighter ไม่ได้ เรารวมกลุ่มกันไม่ได้ในตอนนี้
-
 เวทีนี้เป็นเวทีเดียวที่เราเหลืออยู่ จงรักษามันไว้ให้ได้ หาวิธีสร้างความเชื่อใจกันในกลุ่มตัวเองให้ได้ ทำcontactกับกลุ่มอื่นๆด้วย ทังสายhard core สายInformation กรองข่าวลือทั้งหมดด้วย

-
Anusit Sukmoung



เปิดโปงความคิดชั่วของตัวแทนระบอบราชาธิปไตยไทย ปีย์ มาลากุล ฯ

เปิดโปงความคิดชั่วของตัวแทนระบอบ...

ในที่สุดตัวแทน(ตระกูลชั่ว) ที่ปกครอง(กดหัว)ประชาชนไทยมานานแสนนาน  ออกมาออกโรงแล้วสามารถสรุปความคิดชั่วๆได้ดังนี้

๑. ตอนรัฐประหารไม่มีตัวเลือก เลยเป็น พล.อ.ประยุทธ์ (นาทีที่ ๕.๔๐)

๒. เปลี่ยนนายกฯอีกคนก็ได้ (นาทีที่ ๑๐.๑๔ )

๓. คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย  (นาทีที่ ๑๗.๓๐ )

๔. รัฐบาลต้องเด็ดขาดมากกว่านี้อีก  (นาทีที่ ๑๘.๒๐ )

๕. ยืดเวลาการกดหัวประชาชนต่อไป ไม่จำเป็นต้องเลือกตั้ง(นาทีที่ ๑๙.๒๐)

๖. ข้างบน..(บอก)...เป็นยังไงบ้าง (นาทีที่ ๒๔.๑๕)

๗. ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีการเลือกตั้ง (นาทีที่ ๒๕.๐๕)

๘. นักการเมืองทั้งหมด เห็นแก่ตัว(นาทีที่ ๒๖.๒๐)

๙. นักการเมือง(สามารถ)ถูกเอาไปขัง(ปรับทัศนคติ)ได้ทั้งชีวิต(นาทีที่ ๒๗.๓๐) โดยไม่ต้องสนใจอะไร

๑๐. นักการเมืองเห็นแก่เงิน และคอรัปชั่น (นาทีที่ ๒๘.๐๐)

๑๑. นักการเมืองวิสัยทัศน์แคบ  (นาทีที่ ๒๙.๑๐)

เชิญฟังเองเต็มๆ ที่นี่ : 

เปิดโปงความคิดชั่วของตัวแทนระบอบภูมิพล ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

เปิดโปงความคิดชั่วของตัวแทนระบอบ...
ในที่สุดตัวแทน(ตระกูลชั่ว) ที่ปกครอง(กดหัว)ประชาชนไทยมานานแสนนาน ออกมาออกโรงแล้วสามารถสรุปความคิดชั่วๆได้ดังนี้
๑. ตอนรัฐประหารไม่มีตัวเลือก เลยเป็น พล.อ.ประยุทธ์ (นาทีที่ ๕.๔๐)
๒. เปลี่ยนนายกฯอีกคนก็ได้ (นาทีที่ ๑๐.๑๔ )
๓. คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย (นาทีที่ ๑๗.๓๐ )
๔. รัฐบาลต้องเด็ดขาดมากกว่านี้อีก (นาทีที่ ๑๘.๒๐ )
๕. ยืดเวลาการกดหัวประชาชนต่อไป ไม่จำเป็นต้องเลือกตั้ง(นาทีที่ ๑๙.๒๐)
๖. ข้างบน..(บอก)...เป็นยังไงบ้าง (นาทีที่ ๒๔.๑๕)
๗. ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีการเลือกตั้ง (นาทีที่ ๒๕.๐๕)
๘. นักการเมืองทั้งหมด เห็นแก่ตัว(นาทีที่ ๒๖.๒๐)
๙. นักการเมือง(สามารถ)ถูกเอาไปขัง(ปรับทัศนคติ)ได้ทั้งชีวิต(นาทีที่ ๒๗.๓๐) โดยไม่ต้องสนใจอะไร
๑๐. นักการเมืองเห็นแก่เงิน และคอรัปชั่น (นาทีที่ ๒๘.๐๐)
๑๑. นักการเมืองวิสัยทัศน์แคบ (นาทีที่ ๒๙.๑๐)
เชิญฟังเองเต็มๆ ที่นี่ :

new)talk 7 มีนาคม 2559
new)talk จันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 สัมภาษณ์ คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

Friday, March 18, 2016

แถลงการณ์ เครือข่ายพระธรรมจาริกแห่งประเทศไทย ขอให้รัฐบาลใช้วิจารณญาณอันประกอบด้วยสัมมาทิฐิในการปกครองประเทศ

แถลงการณ์
เครือข่ายพระธรรมจาริกแห่งประเทศไทย
ขอให้รัฐบาลใช้วิจารณญาณอันประกอบด้วยสัมมาทิฐิในการปกครองประเทศ และตั้งมั่นในอุบาสกธรรมในการให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
..............ตามที่ปรากฏชัดเจนว่า พระพุทธศาสนามีภัยอย่างใหญ่หลวง ทั้งภัยภายในและภัยภายนอก ที่สั่นคลอนพระพุทธศาสนา รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  กลับปล่อยให้กลุ่มบุคคลซึ่งนำโดย "พุทธอิสระ" และนายไพบูลย์  นิติตะวัน ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีให้ร้ายคณะสงฆ์ โดยที่รัฐบาลไม่ได้แสดงอาการห้ามปราม ตักเตือน และปล่อยให้คนเหล่านั้นใช้อาคารรัฐสภาแห่งรัฐบาล แถลงข่าวได้อย่างเสรี จนอดสงสัยในท่าทีของรัฐบาลไม่ได้ว่า มีส่วนรู้เห็นกับพฤติกรรมของบุคคลกลุ่มนั้น หรือไม่ ซ้ำร้าย ท่านนายกยังปล่อยให้พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีในรัฐบาลของท่านนายก กล่าวจาบจ้วงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งบวชมาตั้งอายุยังน้อย มีพรรษาล่วงกาลผ่านวัย แก่ปูนทวด ดำรงด์ตำแหน่งประมุขสงฆ์  เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของพระสงฆ์ พุทธบริษัท ทั้งฝ่ายธรรมยุติและมหานิกาย  นำมาซึ่งความเศร้าสลด สังเวช เป็นที่เอน็จ อนาถใจ แก่พระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล และพุทธบริษัททั่วประเทศ ว่า เป็นถึงรัฐมนตรี แต่ทำอย่างนี้ลงไปได้อย่างไร
เครือข่ายพระธรรมจาริกแห่งประเทศไทย ซึ่งปฏิบัติศาสนกิจตามแนวตะเข็บชายแดนในพื้นที่สูง รู้สึกอึดอัดกับการกระทำดังกล่าว จึงออกแถลงการณ์มา ให้ท่านนายกรัฐมนตรีแก่ปัญหาอย่างเร่งด่วน และเรียกร้องให้ปลดพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้   เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเพื่อแสดงความเคารพต่อพระรัตนไตร รักษาไว้ซึ่งหลักธรรมาภิบาลในสังคมต่อไป
เครือข่ายพระธรรมจาริกแห่งประเทศไทย
ปฏิบัติศาสนกิจตามแนวตะเข็บชายแดนในพื้นที่สูง
๑๘  มีนาคม  ๒๕๕๙
18/03/19 ทหารใหญ่. พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา
มีคำสั่งให้ออกหมายเรียกสมเด็จช่วง หากไม่มาให้ออกหมายจับ
ให้รีบๆจับสมเด็จช่วงเลยสิครับ !!!!!!

จับผิด 18 มีค 59 Rev 1 ............แก้ไขหลังถูกบล๊อก

จับผิด 18 มีค 59 Rev 1 ............แก้ไขหลังถูกบล๊อก

จับผิด คสช. 18 มีค. 59

จับผิด คสช. 18 มีค. 59

Thursday, March 17, 2016

“สิริพรรณ” วิเคราะห์ 7 ข้ออันตรายร่างรัฐธรรมนูญ

"สิริพรรณ" วิเคราะห์ 7 ข้ออันตรายร่างรัฐธรรมนูญ

http://www.matichon.co.th/news/74559

เมื่อ วันที่ 16 มี.ค.2559 รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงข้อวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้นำเสนอในเวที "Thailand's Draft Constitution and Referendum: Principles, Stakes, Directions" จัดโดย ISIS Thailand โดยมี นรชิต สิงหเสนี อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบันทำหน้าที่โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมเป็นวิทยากร

สรุปข้อวิเคราะห์ได้ว่า

1.ร่างรัฐธรรมนูญใน เรื่องการให้พรรคเสนอชื่อใครก็ได้ 3 คน ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้งขัดแย้งกับหลักการอำนาจประชาธิปไตยเป็นของ ปวงชน

2. ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม (MMA) จะนำไปสู่การแข่งขันเลือกตั้งที่เน้นตัวบุคคลมากกว่านโยบายพรรค การซื้อเสียงจะสูงขึ้น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นจะกลับมา พรรคเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ แรงจูงใจในการสร้างสถาบันพรรคการเมืองจะลดลง ประชาชนจะขาดความรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมืองเพราะไม่ได้เป็นผู้เลือก นายกรัฐมนตรี และเกิดความสับสนระหว่างความชอบผู้สมัคร vs. พรรค และผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี

3. การให้อำนาจองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบรัฐสภาและรัฐบาลฝ่ายเดียว ขัดแย้งกับหลักตรวจสอบ ถ่วงดุล

4. ศักดิ์ศรี สิทธิ และการมีส่วนร่วมของประชาชนลดลง

5. การทำประชามติต้องคำนึงถึงมาตรฐานและหลักการสากล ต้องให้รณรงค์ได้ทั้งฝ่ายรับและฝ่ายไม่รับ อย่าให้เหมือนการรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และการไม่แจกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้ประชาชน แจกเฉพาะบทสรุป จะมั่นใจได้อย่างไรว่าสรุปได้ตรงความหมายโดยปราศจากอคติ

6. ข้อเสนอของ คสช.ในบทเฉพาะกาล 5 ปี ให้เพิ่มจำนวน ส.ว.จาก 200 เป็น 250 เท่ากับครึ่งหนึ่งของ ส.ส. เปลี่ยนจากการเลือกกันเองระหว่างกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม มาเป็น การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาและให้สำรองที่นั่ง 6 ที่ไว้สำหรับ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 4 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ชัดเจนว่าเป็นความพยายามให้วุฒิสภาทำหน้าที่เป็นกลไกคัดง้างสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นอกเหนือไปจากการติดตั้งกลไกคัดง้างเสียงข้างมากไว้ที่องค์กรอิสระและศาล รัฐธรรมนูญแล้ว

วุฒิสภาตามข้อเสนอของ คสช.จะมีอำนาจใกล้เคียงหรือเทียบเท่าสภาผู้แทนราษฎรเลยทีเดียว กล่าวคือ สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ ควบคุมการบริหารของรัฐบาลได้ด้วย ที่ยังไม่ชัดเจนคือมีอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายจนถึงที่สุดหรือไม่

**ดู เหมือนแนวคิดนี้ จะคล้ายกับบทเฉพาะกาล 4 ปี ของรัฐธรรมนูญ 2521 ขาดก็แต่ข้อเสนอของ คสช. ยังไม่ไปไกลขนาดให้อำนาจวุฒิสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร

7. ข้อเสนอของ คสช. อีกประการคือ ให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 3 คนของพรรคการเมืองเป็นความลับ ไม่เปิดเผยระหว่างการเลือกตั้ง ผลในประการนี้ก็จะกลับไปคล้ายอดีตกาลของประเทศไทย ที่สภาเป็นผู้โหวตด้วยเสียงข้างมากเลือก "ใครก็ได้"เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการเปิดพื้นที่ต่อรอง แลกเปลี่ยนระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง

สิ่งที่ได้ทราบในวันนี้คือ
a. มาตรา 207 ที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างล้นเหลือ ถูกปรับให้กลับไปคล้ายมาตรา 7 เดิม แต่จะมีข้อความที่ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ จะระบุว่าในภาวะวิกฤติ องค์กรใดบ้างที่จะมาทำหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ต้องรอดูเนื้อความจริง ในวันที่ 29 มีนาคม ว่าองค์กรแก้วิกฤติจะคล้ายกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง แห่งชาติ (คปป.) ในร่างชุดอาจารย์บวรศักดิ์หรือไม่

b. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกใส่กลับเข้าไปในมาตรา 4 แต่ดูเหมือนคณะกรรมการยกร่างไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า วิธีเขียนเรื่องสิทธิในร่างฉบับนี้ ได้ลดทอนสิทธิที่ประชาชนพึงมี เคยมี และถูกรับรองในรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ก่อนหน้านี้อย่างไร
ดังที่ อาจารย์มีชัยเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญได้ให้ฮีทเตอร์ (Heater) แล้วทำไมประชาชนยังต้องการผ้าห่มอีก

จึง ตอบประเด็นนี้ไปว่า **เหตุผลที่ประชาชนยังต้องการผ้าห่ม แม้กรรมการร่างจะเสนอฮีทเตอร์ให้ เพราะประชาชนเป็นคนควบคุมผ้าห่มเองได้ ส่วนฮีทเตอร์นั้นถูกเปิดและปิดโดยรัฐ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม**

c. การทำประชามติจะใช้เกณฑ์ "เสียงที่มากกว่า" เช่น หากโหวตรับ มีจำนวนมากกว่าโหวตไม่รับ ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนผู้มาใช้สิทธิ

d. กรรมการยกร่างยังไม่ยืนยันว่าจะรับข้อเสนอของ คสช. ทั้งหมด แต่เชื่อได้ว่า ณ เวลานี้ ใครจะกล้าปฎิเสธคำขอจาก"The Power That Be"

ราชทัณฑ์รับจ่ายเงินเยียวยาแม่จำเลย (เสื้อแดง) ที่ตายในเรือนจำ

ราชทัณฑ์รับจ่ายเงินเยียวยาแม่จำเลย 'คดียิงแกนนำ กปท.' ที่ตายในเรือนจำ
Thu, 2016-03-17 21:51

นัดฟังไกล่เกลี่ยคดี 'จำเลยคดียิงแกนนำ กปท.' เสียชีวิตระหว่างถูกคุมตัวในเรือนจำ เบื้องต้นราชทัณฑ์จะจ่ายเงินเยียวยาแก่แม่ของผู้ตาย ส่วนนัดกำหนดประเด็นข้อพิพาท เลื่อนไป 7 เม.ย.

17 มี.ค. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลแพ่งนัดไกล่เกลี่ยและนัดชี้สองสถาน (นัดกำหนดประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย) ในคดีที่นางอารีย์ ชัยมงคล แม่ของนายสุรกริช ชัยมงคล ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อกรมราชทัณฑ์ว่า จงใจหรือประมาทเลินเล่อละเลยต่อหน้าที่ เป็นเหตุให้นายสุรกริชเสียชีวิตกระทันหันขณะอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2557 ระหว่างการฝากขัง จากการที่นายสุรกริชตกเป็นผู้ต้องหาในกรณียิงนายสุทิน ธราทิน แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) เสียชีวิตที่วัดศรีเอี่ยม ย่านบางนา ขณะนำมวลชนปิดจุดรับลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2557

นางอารีย์ซึ่งเป็นโจทก์และกรมราชทัณฑ์ จำเลย รายงานผลการไกล่เกลี่ยว่า ทางกรมราชทัณฑ์ได้ตกลงที่จะจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ฟ้อง แต่ได้เลื่อนนัดการกำหนดประเด็นข้อพิพาทออกไปเป็นวันที่ 7 เม.ย. 2559 เนื่องจากศาลเห็นว่ายังอยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ย

การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายครั้งนี้ มีสาเหตุจากนางอารีย์เชื่อว่ามีการทำร้ายร่างกายนายสุรกริชจนเสียชีวิต เนื่องจากก่อนเสียชีวิตนายสุรกริชสุขภาพร่างกายแข็งแรง และสภาพศพมีร่องรอยฟกช้ำตามร่างกาย ทั้งนี้ การเสียชีวิตของนายสุรกริชเกิดขึ้นในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ จึงมีกระบวนการไต่สวนการตาย โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที 7 ก.ค. 2558 ว่า เสียชีวิตจากการมีเลือดออกมากในระบบทางเดินอาหาร ภายในเรือนจำ

ทั้งนี้ การชี้สองสถานหรือการกำหนดข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย คือกระบวนการที่ศาลแพ่งจะพิจารณาคำฟ้องของโจทก์และคำให้การจำเลยว่าหากมีข้อใดที่ฝ่ายโจทก์อ้างแล้วจำเลยไม่ยอมรับ ศาลจะกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท และกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานหลักฐานมาสืบ



ทรราช คสช.นำคนไทยสู่ทางตัน

คนต้องเท่ากับคน 16 มีค 59 

เปิดโปง เปรม&ปีย์ สองเฒ่ากาลีศักดินา ลุงเย็นลมป่า รู้ไหม ใครทำให้คนไทยยากจน

เปิดโปง เปรม&ปีย์ สองเฒ่ากาลีศักดินา ลุงเย็นลมป่า รู้ไหม ใครทำให้คนไทยยากจน  http://www.mediafire.com/download/iw25k3zd0dexih5/yenlompa-suda-17-03-16.mp3



รายการ รู้ไหม ใครทำให้คนไทยยากจน หัวข้อ "เปิดโปง เปรม&ปีย์ สองเฒ่ากาลีศักดินา"

รายการ รู้ไหม ใครทำให้คนไทยยากจน หัวข้อ "เปิดโปง เปรม&ปีย์ สองเฒ่ากาลีศักดินา"
วิทยากร: ลุงเย็นลมป่า
ผู้ดำเนินรายการ: สุดา อ.หวาน

ดูรายการสด หรือดูย้อนหลัง คลิกที่นี่ลิงค์นี้เลยค่ะ --D https://youtu.be/su2HgidTErY

Wednesday, March 16, 2016

รายการคนต้องเท่ากับคนประจำวันที่ 16 มีนาคม 2559 โดยจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ

รายการคนต้องเท่ากับคนประจำวันที่ 16 มีนาคม 2559 โดยจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ

---------

เถียงแทนเจ้า # 001/1 โดย ดี.เจ.ตีโต้-คุณหญิงศิรินเทพ16-03-2016.

----------------


โด่ง อรรถชัย..

------------

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 29 เราสู้กับใคร???
หรือ
หรือ
----------------------
อย่าลืมกด Subscribe เพื่อติดตามคลิปใหม่ ๆ ด้วยนะครับ 

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

ขบวนมดแดงล้มช้าง ถึงไหน และจะไปไหนต่อ อย่างไร? ดร. เพียงดิน รักไทย 17 มีนาคม 2559 ตอน "มดแดงล้มช้าง คือ หอกทมิฬทิ่มเผด็จการ"

ขบวนมดแดงล้มช้าง ถึงไหน และจะไปไหนต่อ อย่างไร?
ดร. เพียงดิน รักไทย 17 มีนาคม 2559 ตอน "มดแดงล้มช้าง คือ หอกทมิฬทิ่มเผด็จการ"

 

https://youtu.be/kuV3NLE15Ik

หรือ

https://youtu.be/G83nbfNgUXk

หรือ

https://youtu.be/7Rly-lRHun0

 




----------------------

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

 

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

ผลพวงที่อำมาตย์ทหาร ได้เกาะกินประเทศมาอย่างยาวนาน

โจทย์ของประเทศในวันนี้ 

-
อันเป็นผลพวงจากอดีต ที่อำมาตย์ทหารได้เกาะกินประเทศมาอย่างยาวนาน

-
(1) ด้านเศรษฐกิจที่มีโครงสร้างไม่รองรับการพัฒนาของโลกพึ่งพาปัจจัยภายนอกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรโดยปราศจากการเสริมสร้างความเข้มแข็ง 

-
- แม้ รัฐบาลทรราช คสช. ก็ปล่อยให้ชาวนา ต้องเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง และกันน้ำไว้ให้ ธุรกิจ ของ นายทุนอำมาตย์สามาลย์ ทั้งอาบอบนวด สนามกอล์ฟ และ โรงแรม อีกทั้งธุรกิจน้ำเมา

-
(2) ด้านสังคมที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำในทุก ๆ ด้าน 

-
- หากเรามอง ค่าแรงของคนปกติทั่วประเทศ ได้ค่าแรงวันละ 300 แต่กลับ อำมาตย์ทรราช คสช. ได้เบี้ยประชุมวันละ 9 พันบาทต่อวัน ความเหลื่อมล้ำ ที่พอสรูปได้ มีความแตกต่างกัน กว่า 70 เท่าโดยมวลรวม

-
(3) ด้านการเมืองที่มอมเมาและลวงตาประชาชน ทั้ง "ตาบอดสี" ไม่เห็นสีอื่น เห็นแต่สีตนทั้ง ๆ ที่ทุกคนเป็นสี "ธงไตรรงค์" เหมือนกัน กลับสาดสี แบ่งแยกแบบผิด ๆ อีกทั้ง "สายตาสั้น" มองความสุขเพียงอายุรัฐบาล ถูกกล่อมขายฝัน รอกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ไม่ยั่งยืน "ยื่นปลา ไม่ยื่นเบ็ด ไม่สอนวิธีหาปลา"

-
- รัฐบาล ทรราช คสช.ไม่ใช่แค่ไม่สอนวิธีหาปลา แต่กลับ หักเบ็ด ที่ เพื่อไทยได้ให้ไว้ ทั้งใช่ความ อยุติธรรม แบ่งสี หากเป็นฝั่งสีเหลือง หรือ แมงสาป และ กปปส. ทำอะไรไม่เคยถูก ดำเนินคดี ทั้ง การยึด สนามบิน ยึด สถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้ง และ ยิงประชาชน ตายกว่า 99 ศพ ในราชประสงค์ 

-
ผู้นำ ทรราช คสช. บ่นปัญหาเวลานี้คือ ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ทรราช คสช . สาเหตุเพราะ 

-
หาก แนวทางประชารัฐที่รัฐบาลทรราช คสช.นำเสนอ จะเป็นการปฏิรูป ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น

-
"ประชาชนไม่ได้เป็นศูนย์กลาง" แม้ว่าประชาชนจะเป็นเจ้าของประเทศ 

-
รัฐบาลทรราช คสช. ยัดเยียด "ความ อยุติธรรมจากภายใน" และอาศัยอำนาจ ม.44 ตัดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ด้วยเทคนิค ด้วยการเอาปืนจี้ 

-
"ความรู้ รัก สามัคคี" ของคนในสังคม ตั้งแต่ระดับฐานราก แบ่งแยก สี อย่างชัดเจน
เพราะ รัฐบาล ทรราช คสช. ไม่เคยฟังเสียงของประชาชน เลย ตลอดระยะเวลาที่ยึดครองอำนาจ 
-

การกระทำของ รัฐบาล ทรราช คสช. ไม่ใช่แค่ไม่ฟังเสียงของประชาชนเท่านั้น หากแต่ ประชาชน คนใหน ออกมาพูด ถึงความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม หรือ พูดถึงความ ล้มเหลวของ รัฐบาล ทรราช คสช. ก็จะถูก ปรับทัศนคติ จนประชาชน บางคนถูก ปรับทัศนคติ ซ้ำๆ กว่า 4 - 5 ครั้ง 

-
" ผมเชื่ออย่าง บริสุทธ์ใจว่า งาช้างไม่เคยงอกออกจากปากสุนัขฉันใด ประชาธิปไตยก็ไม่เคยได้จากการปกครองของ ทรราช ฉันนั้น "

-
เสรีชน


ฮูโก ชาเวส โดย อ. ใจ อึ๊งภากรณ์

ฮูโก ชาเวส

ใจ อึ๊งภากรณ์

ฮูโก ชาเวส ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป ประกาศตัวเป็น "นักสังคมนิยม" แต่เราต้องประเมินว่าเขาสร้างพรรค และสามารถปลุกระดมให้ประชาชนยึดอำนาจ เพื่อปกครองตนเองและเป็นใหญ่ในแผ่นดินแค่ไหน อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้นำที่ให้ความหวังมากมายกับคนจนในลาตินอเมริกาและที่อื่น

ต้นกำเนิดของรัฐบาล ฮูโก ชาเวส

     เวเนสเวลา เป็นประเทศในลาตินอเมริกาที่ร่ำรวยเพราะมีน้ำมัน แต่ในอดีตผลประโยชน์ตกอยู่กับอำมาตย์อภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน โดยมีการเอาใจกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจน้ำมัน ซึ่งได้ส่วนแบ่งบ้าง รัฐวิสาหกิจน้ำมันนี้เดิมเสมือน "รัฐอิสระ" ที่ให้ประโยชน์กับคนส่วนน้อย โดยเกือบจะไม่จ่ายเงินเข้าคลังของรัฐเลย นอกจากนี้มีการ "จัดการ" ระบบเลือกตั้งให้พรรคของพวกอภิสิทธิ์ชนชนะเสมอ และสื่อทั้งหมดอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจอีกด้วย ผลคือประชาชนที่เหลือยากจนและอาศัยอยู่ในสลัม 

     พอถึงปี ค.ศ.1989 ประชาชนทนไม่ไหว มีการลุกฮือครั้งใหญ่ในเมืองหลวง คาราคัส เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่า "การลุกฮือ คาราคาโซ (Caracazo)" ปรากฏว่ารัฐบาลอำมาตย์ฆ่าประชาชนตาย 2000 คนเพื่อปราบปรามอย่างเลือดเย็น

     ฮูโก ชาเวส เป็นสมาชิกกลุ่มนายทหารหนุ่มที่ไม่พอใจกับระบบการปกครองของอำมาตย์ พวกเขาต้องการพัฒนาสังคมและการนำรายได้จากน้ำมันมาสร้างความเป็นธรรม เขามองด้วยว่าจักรวรรดินิยมสหรัฐมีอิทธิพลในประเทศเขามากเกินไป ในปี1992 ชาเวส จึงพยายามทำรัฐประหารล้มรัฐบาล แต่ไม่สำเร็จ เลยติดคุกสองปี แต่ประชาชนที่เจ็บปวดจากการปราบปรามของรัฐบาลในปี 1989 หันมาสนใจ ชาเวส

     ในปี1998 ชาเวสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และชนะด้วย 58% ของคะแนนทั้งหมด หนึ่งปีหลังจากนั้น เขาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีกลไกตรวจสอบนักการเมือง มีการเพิ่มงบประมาณรัฐให้โรงเรียนและลดบทบาทสถาบันศาสนาคริสต์ที่เคยสนับสนุนอำมาตย์ สตรีมีสิทธิเลือกทำแท้ง มีมาตราเพื่อปฏิรูปสื่อและปฏิรูปอุตสาหกรรมน้ำมัน ปรากฏว่า 71% ของประชาชนสนับสนุนรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับนี้

     ต่อมาในปี 2000 ชาเวส ชนะการเลือกตั้งอีกรอบด้วยคะแนน 59% คราวนี้มีการออกกฎหมายเพื่อบังคับเพิ่มเงินที่บริษัทน้ำมันต้องจ่ายให้รัฐ และมีการนำเงินนี้มาเพิ่มงบประมาณการศึกษาและสาธารณสุขสำหรับประชาชน  มีการปฏิรูปที่ดินด้วย

     อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทหารฝ่ายขวาทำรัฐประหาร โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ และ ชาเวส ถูกจับเข้าคุก ไม่มีใครในกองทัพช่วยแม้แต่เพื่อนเก่าก็ไม่ทำอะไร แต่เมื่อประชาชนคนจนออกมาต่อต้านเผด็จการบนท้องถนนเป็นแสน รัฐประหารฝ่ายขวาก็ล้มเหลวและ ชาเวส ถูกปล่อยตัว จึงกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เราจะเห็นได้ชัดว่าพลังมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาด

     ในปี 2004 ชาเวส จัดให้มีประชามติเพื่อดูว่าประชาชนอยากให้เขาดำรงตำแหน่งต่อจนครบวาระหรือไม่ ตามกติกาใหม่ที่เขาเคยเสนอเพื่อให้ประธานาธิบดีต้องฟังเสียงประชาชน ชาเวส ชนะด้วยเสียง 58.3% และในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2006 ก็ชนะอีกด้วยเสียง 62% ล่าสุดชาเวสชนะการเลือกตั้งในปี 2012 ด้วยคะแนน 55%

ปัญหาของรัฐ

     ปัญหาใหญ่สำหรับ ชาเวส และประชาชน เวเนสเวลา คือถึงแม้ว่า ชาเวส จะได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งเป็นคนจน และมวลชนพร้อมจะออกมาปกป้องเขา แต่โครงสร้างรัฐอำมาตย์เก่ายังอยู่ และพยายามทุกวิธีที่จะคัดค้านนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้นายทุนฝ่ายค้านก็คุมสื่อส่วนใหญ่ นอกจากสื่อของรัฐบาลเอง และมีการประโคมข่าวเท็จด่ารัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

     ในระดับหนึ่ง ชาเวส พยายามสร้างรัฐใหม่คู่ขนานกับรัฐเก่า เช่น มีการสร้างสภาชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนรากหญ้า มีธนาคารชุมชนเพื่อเน้นการลงทุนสำหรับคนจน มีการตั้งสหภาพแรงงานใหม่ที่ไม่สนับสนุนอำมาตย์ และในบางสถานที่มีการทดลองให้กรรมกรคุมการผลิตเอง ทั้งหมดนี้เพื่อจะลดการพึ่งพาอาศัยข้าราชการและกลุ่มอำนาจเก่า แต่ในขณะเดียวกันไม่ได้รื้อถอนรัฐเก่าอย่างเป็นระบบเลย

     ยิ่งกว่านั้น ชาเวส มองว่าเผด็จการ "คอมมิวนิสต์" ของ คิวบา เป็นแม่แบบในการสร้างสังคมใหม่ ซึ่งในรูปธรรมหมายความว่า ชาเวส จะเน้นการนำพรรคพวกของเขาเข้าไปเป็นข้าราชการในโครงสร้างรัฐเก่า แทนที่จะเน้นพลังมวลชนในการรื้อถอนทำลายรัฐเก่าและสร้างรัฐใหม่ และข้าราชการหลายคนของชาเวส กลายเป็นคนโกงกินที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ ช่วงนี้ ชาเวส สร้างพรรคสังคมนิยมของตนเองขึ้นมา และกลายเป็นพรรคมวลชน แต่คำถามสำคัญคือ ชาเวส สร้างพรรคนี้เพื่อผลักดันการปฏิวัติมวลชน หรือเพื่อควบคุมมวลชนกันแน่?

     การทำการปฏิวัติสังคมแค่ครึ่งทาง โดยไม่ทำลายรัฐเก่า และไม่ยึดปัจจัยการผลิตทั้งหมดจากนายทุนเพื่อให้ประชาชนบริหารเอง มีปัญหามากและอันตราย  เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีอำนาจเต็มที่ ในการบริหารประเทศ และไม่สามารถพัฒนาสภาพชีวิตของคนจนได้ตามความต้องการของประชาชน นอกจากนี้การแปรรูปสถานประกอบการต่างๆ เพื่อให้มีการบริหารเองโดยคนงาน ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ผ่านการออกกฏหมายอย่างเดียว ต้องมีการปลุกระดมมวลชนให้กระตือรือร้น และต้องมีการยึดสถานที่ทำงานโดยมวลชนกรรมาชีพเอง ผลของการทำการปฏิวัติครึ่งทางคือ เริ่มมีคนจนที่ผิดหวังกับผลงานของ ชาเวส และในเดือนธันวาคม 2007ชาเวสแพ้ประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ก้าวหน้ามากขึ้น อันนี้น่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัย

     ชาเวส ประกาศว่าตนเองเป็นผู้นำที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ในการต่อต้านจักรวรรดินิยม เขาไปจับมือกับเผด็จการใน คิวบา และ อิหร่าน ซึ่งเกลียดสหรัฐ และเคยชม กาดาฟี่ ในลิบเบีย อีกด้วย แต่ถ้าจะมีการปลดแอกประชาชนภายใน เวนเนสเวลา ก็ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้กับเผด็จการทั่วโลก

     ฝ่ายซ้ายหลายกลุ่มใน เวเนสเวลา เช่นกลุ่ม "ต่อสู้ชนชั้น" และกลุ่ม Por Nuestras Luchas (กลุ่ม "โดยการต่อสู้ของเราเอง") เสนอว่าต้องมีการปลุกระดมมวลชนชั้นล่าง กรรมกร เกษตรกร และคนพื้นเมือง เพื่อปฏิวัติอย่างถาวร และเขามองว่าต้องปฏิวัติภายในกระแสที่สนับสนุน ชาเวส

     หลังจากที่ ชาเวส จากโลกนี้ไป เครื่องชี้วัดว่าเขาเปลี่ยนสังคมเวนเนสเวลาได้อย่างจริงจังหรือไม่ คือความสามารถของมวลชนและพรรคสังคมนิยมที่จะนำการเมืองต่อไป และสร้างสังคมใหม่ โดยไม่พึ่งพาวีรบุรุษคนเดียว


-- 
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/ 

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 29 เราสู้กับใคร???

กษัตริย์ไทยไม่เคยยิ้ม ตอน 29 เราสู้กับใคร???

https://youtu.be/bUzaxbwR-Ws

หรือ

https://youtu.be/z8RC-eMpEFo

หรือ

https://youtu.be/rSjuX50YJ8s

----------------------

อย่าลืมกด Subscribe เพื่อติดตามคลิปใหม่ ๆ ด้วยนะครับ

 

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

Tuesday, March 15, 2016

เขาได้อะไร .... ?

ร่วมมือกันขับไล่ทรราช คสช.

ศาลเป็นของใคร ?

ศาลเป็นของใคร ? ( แทนของเดิมที่ถูกปิด)
อ.หวาน คุยกับลุงสนามหลวง เรื่องความเป็นมาของตุลาการไทย
ที่กลายมาเป็นตุลาการโจรของระบอบภูมิพล

ไอ้ทรราช ประยุทธ์ นี้ไง กูงัดมาให้มึงเห็น เรื่องที่ ทหารทรราช โกงแผ่นดิน

ไอ้ทรราช  ประยุทธ์ นี้ไง กูงัดมาให้มึงเห็น เรื่องที่ ทหารทรราช โกงแผ่นดิน

----------------------

อำมาตย์ ทรราช เกลียดคนโกงจริงหรือ?))))))

ทหารทรราช โกงกินเงินงบประมาณตลอดมี จนถึงปัจจุบัน 

กลิ่นเหม็นรถถัง "ยูเครน" ... คำถามใหญ่ที่กองทัพต้องตอบ



  "ประพันธ์ คูณมี"แฉ! รถถังยูเครน7,200 ล้านใช้เครื่องยนต์เรือ ท้าผบ.ทบ.ถ้าดีจริงโปรดเอามาวิ่งโชว์ - 



ข่าว ผบ ทบ  ประยุทธ์ จันทรโอชา  GT200 ใช้งานได้........หากเชื่อมั่น...(ถุย)




CNN แฉ GT200 ที่ทหารทรราช คสช.ไทยใช้ ลวงโลก



สัสเสธ.ไก่อู .สรรเสริญ  เหี้ยกำเนิด  ยืนยัน GT200 ใช้งานได้จริง "ไอ้สัส กูฮา"




2010 02 16 CH3 GT200ผลสอบ หมอพรทิพย์หน้าแหก ยันใช้ต่อแม้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์



อย่างฮากับความเห็นโ่ง่ๆ เรื่องGT200  ของ99 ศพ   ฆาตกรอภิสิทธิ์



------------------------------------



ไล่ลำดับเหตุการณ์ เรือเหาะ..

       10 มี.ค.52 - คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติงบประมาณจำนวน 350 ล้านบาท จัดหาระบบเรือเหาะตรวจการณ์ เพื่อใช้ในงภารกิจตรวจการณ์ทางอากาศของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หนึ่งในยุทธการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ 350 ล้านบาท แบ่งออกเป็นตัวเรือบอลลูนจำนวน 260 ล้านบาท, กล้องส่องกลางวันและกลางคืน จำนวน 70 ล้านบาท และอุปกรณ์สื่อสารภาคพื้นดินอีก 20 ล้านบาท ทั้งหมดรวมเป็นระบบเรือเหาะ 1 ชุด
-
       
       ในเดือนเดียวกัน หลังถูกหลายฝ่ายวิจารณ์การจัดซื้ออย่างหนัก ทั้งเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานและความปลอดภัยซึ่งอาจถูกยิงตกได้ ด้านโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะถึงความจำเป็นในการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ พร้อมกล่าวยืนยันว่าเรือเหาะบินได้สูงกว่าระยะยิงภาคพื้นดิน
       
-
       เม.ษ. 52 - กองทัพบก ดำเนินการทำสัญญาจัดซื้อเรือเหาะจาก บริษัทเอเรีย อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน
       
-
        ธ.ค. 52 - เรือเหาะ ถูกส่งเข้าประจำการ ภายในโรงจอดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กองพลทหารราบที่ 15 อย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
    
-   
       ม.ค. 53 - ฤกษ์งามยามดี กองทัพกำหนดให้เป็นวันเริ่มแรกของการนำเรือเหาะขึ้นปฏิบัติการ แต่กลับประสบปัญหาทางเทคนิคส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ในส่วนของการลงนามรับมอบสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตก็เลื่อนออกไป
    
-   
        มี.ค. 53 - ทางคณะกรรมการตรวจรับเรือเหาะ กองทัพบก จัดการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานเรือเหาะเป็นการภายใน โดยไม่อนุญาติให้สื่อมวลชนเข้าทำข่าว ในส่วนผลการทดสอบพบปัญหาหลายประการ ทั้งกล้องและตัวบอลลูน อย่างคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ว่าบินได้สูง3,000 เมตร การทดสอบกลับทำได้เพียง 1,000 เมตร เท่านั้น แน่นอนว่าไม่พ้นระยะยิงจากพื้นดิน
    
-   
       เดือนเดียวกัน ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ ลงพื้นที่เพื่อร่วมตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเรือเหาะอีกครั้ง หลังประสบปัญหามากมาย แต่ก็ยืนยันว่าระบบรวมยังใช้งานได้ดี
  
-     
        มิ.ย. 53 - รองเจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารบก แถลงข่าวชี้แจ้งกรณีโครงการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ในทุกประเด็น อย่างเรื่อง ที่เพดานบินที่ทำได้สูง เพียง 1,000 เมตร จากสเปก 3,000 เมตร ก็ได้อธิบายว่าความสูงที่ 3,000 เมตรจะเป็นเฉพาะเรือเหาะเปล่าๆ ที่นี้เมื่อติดกล้อง และมีเจ้าหน้าขึ้นไปเลยบินต่ำลงเป็นเรื่องธรรมดา
      
        ก.ค. 53 - ระบบเรือเหาะทั้งระบบ ถูกลงนามรับมอบโดย คณะกรรมการตรวจรับฯ เป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางคำถามที่ยังคาใจหลายฝ่าย
 
-      
        ส.ค. 53 - เป็นประเด็นร้อนในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2554 ส.ส. ฝ่ายค้านอภิปรายโจมตีการจัดซื้อระบบเรือเหาะตรวจการณ์ ทั้งทำสัญญาโดยไม่ผ่านการพิจารณาของสำนักอัยการสูงสุด ทั้งยังเบิกงบฯ ครบตามจำนวนโดยไม่มีการขอให้บริษัทคู่สัญญานำสินค้าตัวอย่างมาให้ทดลองใช้งาน ท้ายที่สุดระบบเรือเหาะก็ไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถใช้งานได้
   
-    
        ก.ย. 53 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นผบ.ทบ. หลัง พล.อ. อนุพงษ์ เกษียณอายุราชการ
    
-   
        ก.พ. 54 - หลังมีกระแสข่าวการเปลี่ยนผ้าใบที่รั่วซึมจากบริษัทผู้ผลิต ทางกองทัพบกทดลองนำเรือเหาะขึ้นบินเพื่อทดสอบอีกครั้ง
   
-    
       มี.ค. 54 - ตรวจความพร้อมเรือเหาะก่อนใช้งานจริง ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์
   
-    
       ก.ค. 54 - กองทัพบกใช้งบประมาณกว่า 25 ล้านบาท เติมก๊าซฮีเลี่ยมเพื่อให้เรือเหาะไม่เสื่อมสภาพไปกว่าเดิม
    
-   
        ก.พ. 55 - มีการนำเรือเหาะลอยขึ้นทดสอบระบบสัญญาณ หลังปรับแก้ไขอุปกรณ์บางส่วนเสร็จสิ้น ลอยสูงประมาณ 500 เมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมง
       
       ก.ย. 55 - พล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันให้เรือเหาะใช้งานได้จริงเสียที ด้านกองทัพบกทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท เวิลด์วาย แอร์โรว์ คอร์ป และ บริษัท เอ็มแลนดาร์ช จำกัด เพื่อให้ซ่อมแซมแก้ไขให้เรือเหาะลำนี้ใช้งานได้ ใช้งบประมาณจ้างรวมกว่า 50 ล้าน
      
       ล่วงเวลาไปกว่า 4 ปี ก็ไม่รู้ว่าการดำเนินการแก้ไขในครั้งนี้จะลุล่วงไปด้วยดีหรือไม่
       
-
       350 ล้านบาท(++) ซื้อยุทโธปกรณ์เพื่อใคร?
-
       อย่างที่แจงแจงไว้ข้างต้น ครั้นถึงเวลาทดสอบการปฏิบัติการครั้งแรกเรือเหาะก็พบปัญหาทางเทคนิค ต่อมาก็ไม่สามารถเหินขึ้นท้องฟ้าได้ดังคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ บินได้สูงเพียง 1,000 เมตร จากสเปก 3,000 เมตร จนเกิดการวิจารณ์ว่าแบบนี้ถ้าเอาไปใช้งานในพื้นที่ชายแดนใต้คงตกเป็นเป้านิ่งแน่นอน งานนี้เลยจอดแน่นิ่งที่ โรงเก็บ จ.ปัตตานี แถมผลาญค่าก๊าซฮีเลี่ยมอีกเดือนละ 2-3 แสนบาท เพื่อคงสภาพกันรั่วเอาไว้
       
-
       พอเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สมัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปลายปี 2553 ก็มีการเทงบประมาณจัดซ่อมเรือเหาะตรวจการณ์อย่างเรื่อยมา ล่าสุด กองทัพบก ก็ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัทต่างชาติเข้ามาซ่อมแซมแก้ไขให้เรือเหาะลำนี้ใช้งานได้ มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
       
-
       ซึ่งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันออกมาอีกเพราะเรือเหาะมีอาการไม่ปกติตั้งแต่การส่งมอบของบริษัทเอเรีย อินเตอร์เนชันแนลฯ แล้ว อีกทั้งตอนเสียหายก็ยังอยู่ในประกัน ทำไมไม่เรียกร้องให้ทางบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบ
       
-
       จากการค้นข้อมูลเก่าปรากฏชัดถึงข้อถกเถียงในหลายกรณีสำหรับการนำระบบเรือเหาะเข้ามาใช้ในการทหารชายแดนใต้ตั้งแต่ก่อน ครม. จะอนุมัติโครงการ บ้างให้เหตุผลว่าเรือเหาะตรวจการณ์ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่มั่นใจว่าประสิทธิภาพของมันจะควบคุมหรือเหมาะสมกับสถานการณ์ในชายแดนใต้ได้หรือไม่
     
-
  
       หรือในเรื่องการตั้งข้อสังเกตในเรื่องราคาจัดซื้อ 360 ล้านที่แพงหูฉี่ ถูกเปรียบเทียบกับเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย เฉพาะตัวบอลลูน ราคาเพียง 30-35 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ สกาย ดรากอน แต่ราคาสูงถึง 260 ล้านบาท



            ~~~~~~~~~~~~


ฟ้องครม.-บิ๊กป้อม-ป๊อกเอี่ยวรถหุ้มเกราะฯฉาว

ASTVผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553          ASTVผู้จัดการรายวัน - ฟ้องกราวรูด ครม.กลาโหม-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก ปลัดกลาโหม เจ้ากรมสรรพาวุธทัพบก พัวพันโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะยูเครนฉาว ร้องเพิกถอนข้อสัญญาผูกพันและคำสั่งอนุมัติแผนจัดซื้อ
-

          ในที่สุดโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากประเทศยูเครนของกองทัพบกที่มีปัญหายืดเยื้อเรื้อรัง ก็ถูกนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อหาข้อยุติโดยกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ผู้ฟ้องคดี ได้มอบอำนาจให้ ว่าที่ ร.ต.เจษฎากรณ์ คุณคำเท็ญเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่6 ก.ย. 2553 และยื่นคำฟ้องเพิ่มเติมในวันที่ 9 ก.ย. 2553 โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีรวม 11 ราย ประกอบด้วย 1) คณะรัฐมนตรี 2) กระทรวงกลาโหม 3)รมว.กระทรวงกลาโหม 4) กองทัพบก 5)ผู้บัญชาการทหารบก 6) คณะทำงานคัดเลือกแบบยานเกราะล้อยาง (จำนวน 16 คน) 7) คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กองทัพบก(จำนวน 19 คน) 8) กรมสรรพาวุธทหารบก 9)เจ้ากรมสรรพาวุธ 10) ปลัดกระทรวงกลาโหม11) สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม

-
          คดีนี้ ผู้ฟ้องกล่าวหาผู้ถูกฟ้องว่าเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กระทำการไม่สุจริต ขัดต่อกฎหมายกฎ คำสั่ง ระเบียบ เกี่ยวกับการจัดซื้อยานเกราะล้อยางเข้าประจำการในกองทัพบก โดยคณะกรรมการคณะทำงานคัดเลือกแบบยานเกราะล้อยางได้เอื้อประโยชน์ให้บริษัทUKRSPETSEXPORT จำกัด และบริษัท เอ็นจีวีเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ประสานงานตัวแทนประเทศยูเครน เข้าเสนอข้อมูลภายหลังกำหนดการปิดรับตามประกาศเชิญชวนคัดเลือกแบบยานเกราะฯ และได้รับคัดเลือกเป็นผู้ชนะการประกวดราคาโดยผิดเงื่อนไขทั้งการไม่มายื่นเอกสารข้อมูลตามวันเวลาที่กำหนด และยานเกราะของยูเครน ไม่ผ่านคุณลักษณะทั่วไป

-
          นอกจากนั้น การเสนอราคาของบริษัทในขั้นตอนคัดเลือกแบบแตกต่างราคาที่ตกลงซื้อขายกันจริงโดยมีราคาแพงขึ้น อีกทั้งประเทศไทยและประเทศยูเครนไม่มีข้อตกลงความร่วมมือทางด้านการทหารกับกองทัพบกไทยจึงไม่สามารถจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากยูเครนได้

-
          ยานเกราะล้อยางที่ยูเครนนำมาเสนอขายยังเป็นรถเก่าที่รัสเซียเคยมอบไว้ให้ยูเครนหลังแยกออกมาตั้งประเทศใหม่ แล้วยูเครนนำรถรัสเซียมาดัดแปลงขาย การดัดแปลงรถยังทำให้เกิดข้อเสียเพราะวัตถุประสงค์ของยานเกราะหุ้มล้อยางเพื่อไปใช้นำพลรบออกจากที่รวมพลไปยังแนวตีหรือลาดตระเวนคุ้มครองเส้นทาง ไม่ได้ออกแบบมาเป็นรถพร้อมรบทำให้อำนาจการป้องกันตัวต่ำกว่าหรือด้อยกว่ารถถังขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ที่ใช้กันทั่วโลกจะเป็นภยันตรายต่อกองกำลังพล เป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามหลักเสมอภาคการกระทำของผู้ถูกฟ้องจึงขัดต่อกฎหมาย เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

-
          กรณีนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ตรวจสอบและท้วงติงในหลายประเด็นและขอให้ทบทวนกระบวนการจัดซื้อของผู้ถูกฟ้องคดี อีกทั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมืองข้าราชการและประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังได้ตรวจสอบและมีมติว่าการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครนเป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส ผิดไปจากขั้นตอนการดำเนินการที่ทางราชการกำหนดและขัดต่อหลักธรรมาภิบาลซึ่งเป็นหลักที่ใช้ใน

-
          การบริหารงานราชการ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีกลับมิได้ฟังคำท้วงติงแต่อย่างใด
          ต่อมา เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กระทรวงกลาโหม ลงนามอนุมัติจัดซื้อโดยให้สตง.เข้าร่วมตรวจรับเพื่อ ความโปร่งใสด้วย  แต่การลงนามซื้อขายแบบ G TO G ระหว่างกองทัพบกโดยกรมสรรพาวุธทหารบกกับประเทศยูเครน ซึ่งทางยูเครนเบิกเงินล่วงหน้าไปแล้ว 15% ของมูลค่าสัญญาประมาณ 3,800 ล้านบาท ทาง สตง.ไม่ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการตรวจรับแต่อย่างใด

-
          ภายหลังจากนั้นทางยูเครนยังมีปัญหาในการผลิตเครื่องยนต์ เพราะผู้ผลิตเครื่องยนต์ยี่ห้อ DEUTZ BF 6 M 1015 ของเยอรมนีไม่ยอมจำหน่ายเครื่องยนต์ดังกล่าวตามยูเครนเสนอไว้ในขั้นตอนการคัดเลือกแบบ และเสนอขอเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นยี่ห้อ MTU ของเยอรมนีแทน ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติในการนำเสนอข้อมูลในการคัดเลือกแบบยานหุ้มเกราะ
-
          ถือว่าสอบตกและต้องถูกตัดสิทธิดังกรณีประเทศจีน
-
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ครม.ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนเครื่องยนต์ดังกล่าว ซึ่งการกระทำของคณะรัฐมนตรีถือว่าเป็นการแก้ไขสาระสำคัญของสัญญา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 190 บัญญัติว่า หนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลผูกพันทางการค้า การลงทุน... จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา...ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์และระบบเกียร์ถือเป็นสาระสำคัญของสัญญา

-
          การกระทำของผู้ถูกฟ้อง เป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ไม่เที่ยงธรรม เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท UKRSPETSEXPORT จำกัดประเทศยูเครน ทำให้ประเทศชาติเสียหายสูญเสียงบประมาณแผ่นดินจากโครงการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครน โครงการที่ 1 จำนวน 96 คัน วงเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทและโครงการที่ 2 จำนวน 121 คัน วงเงินประมาณ5,000 ล้านบาท ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสได้รับยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและเป็นของใหม่สูญเสียอำนาจในการป้องกันประเทศด้านความมั่นคงและด้านการทหาร

-
          ในท้ายคำฟ้อง ผู้ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการชำระเงินตามสัญญา และห้ามผู้ถูกฟ้องคดีเข้าทำสัญญาหรือข้อผูกพันใดๆ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลปกครองรับคำฟ้องและพิเคราะห์คำขอไต่สวนฉุกเฉินเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องไต่สวนฉุกเฉิน แต่ศาลจะได้ตรวจสอบข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเพื่อมีคำสั่งในคดีนี้โดยเร็วต่อไป



ทำไมทรราช คสช.ถึงติดนิสัย ชี้ หน้าประชาชน

คำถามเด็ด...ทำไมนายทหารใหญ่ๆหลายคน
ถึงเออ ติดนิสัยชี้หน้าประชาชน หรือนักข่าว?


Cr. thaienews.


เอางี้ไหม ถ้ารับธรรมนูญฉบับโจร คสช.ไม่ผ่าน ก็ปิดประเทศไปเลย

ถึง พี่น้อง ประชาชน ทั่วทั้งประเทศ ...เอางี้ไหม ถ้ารับธรรมนูญฉบับโจร คสช.ไม่ผ่าน

ก็ปิดประเทศไปเลย ให้ประยุทธ์ และพ่อของมันอยู่ไป ชั่วกัลปาวสานเลยไหม..... สัส

------------------------------

จะร่าง รธน. หรือปิดประเทศ

Sat, 2015-10-31 07:11

ใบตองแห้ง
-

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ ยังเลื้อยอยู่ในเขาวงกต ยังชวนทะเลาะนักการเมืองตั้งแต่สูตรเลือกตั้ง ซึ่งทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย

-
สูตรนี้ไม่รู้ขูดมาจากต้นกล้วยไหน ให้ประชาชนเลือก ส.ส.เขตอย่างเดียว ใครชนะได้ไป ใครแพ้ให้เอาคะแนน สอบตกมาคิดส.ส.บัญชีรายชื่อ ถามว่าระบบนี้มีที่ไหนในโลก ปรมาจารย์มีชัยบอกเคยมีคนคิด แต่ยังไม่มีใครทำ

-
อะไรที่ชาวโลกเขาไม่ทำนี่ดีนักแล คนไทยจะได้อ้าง Thailand Only ภูมิใจได้เกิดในประเทศนี้ ทั้งที่ไม่มีตรรกะไม่มีเหตุผล ด้นไปเรื่อย "ไม่ให้คะแนนเสียงตกน้ำ" ใช่เลย คะแนนคนแพ้ไม่ตกน้ำ แต่คะแนนคนชนะตกน้ำ สมแล้วที่มีคนตั้งชื่อ "สูตรเลือกตั้งเชิดชูผู้แพ้"

-
เขตเลือกตั้งที่ 1 คนเฮไปเลือกนาย ก. 8 หมื่นเสียง นาย ข. ค. ง. ได้คะแนนรวมกัน 2 หมื่นเสียง เขตเลือกตั้งที่ 2 คนเลือกนาย จ. 4 หมื่นเสียง นาย ฉ. ช. ฌ. ได้คะแนนรวมกัน 6 หมื่นเสียง แปลว่าคนยิ่งเลือกนาย ก. ท่วมท้นด้วยความนิยมสูง คะแนนบัญชีรายชื่อยิ่งตกน้ำเยอะ

-
ยังงี้แอบตั้งพรรคสาขา 2 ดีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ 2 ในภาคใต้ พรรคเพื่อไทย 2 ภาคเหนือภาคอีสาน เขตไหนคะแนนเหลือเฟือก็เผื่อแผ่ให้กัน

-
พอลองคำนวณผลการเลือกตั้ง 2548 จึงเพี้ยนไปใหญ่ จากที่ใช้คะแนนบัญชีรายชื่อ 31 ล้าน คำนวณ ส.ส. 100 คน ก็หันไปใช้คะแนน "สอบตก" 11 ล้านมาคิดแทน ไทยรักไทยแพ้น้อย จึงได้ส.ส.บัญชีรายชื่อลดฮวบจาก 67 คนเหลือ 20 คน ปชป.แพ้มากได้เพิ่มจาก 26 เป็น 37 คน ชาติไทย 7 เป็น 21 คน พรรคมหาชนของไอ้หนุ่มซินตึ๊งซึ่งได้ 0 (เพราะตามรัฐธรรมนูญ 2540 ถ้าได้ต่ำกว่า 5% ให้ตัดทิ้ง) ก็กลายเป็นได้ 19 คน

-
พูดอย่างนี้อยากให้ไทยรักไทยได้ท่วมท้น 375 เสียงอยู่เรอะ เปล่าเลย เพราะถ้าต้องการให้ผลการเลือกตั้งสะท้อนเจตจำนงประชาชน พรรคไทยรักไทยคงได้น้อยกว่า 375 อยู่ดี เช่นถ้าใช้สูตรเยอรมันแบบบวรศักดิ์ พรรคไทยรักไทยยิ่งได้น้อยไปอีกนะครับ คือได้ 19 ล้านเสียงจาก 31 ล้านเสียง ก็จะได้ส.ส.ทั้งประเทศ 306 คน เมื่อได้ส.ส.เขตไปแล้ว 308 คนก็แปลว่าไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มเลย!

-
แต่สูตรเยอรมันมีเหตุผลอธิบายได้ ถึงเจตจำนงประชาชน คุณได้ 19 ล้านจาก 31 ล้าน คิดเป็น 61% คุณก็ควรได้ส.ส. 305-306 จาก 500 คน ต่างกับสูตร "เชิดชูสอบตก" ที่เอาเฉพาะเจตจำนงคนเลือกส.ส.สอบตก ซ้ำยังไพล่ไปเอาคะแนนตัวบุคคลมาเป็นคะแนนพรรค เพราะการเลือก ส.ส.เขตบางครั้งเราก็เลือกเพราะรัก เพราะเป็นเพื่อน เป็นญาติ โดยอาจไม่ชอบพรรคก็ได้ จริงไหมครับ

-
อ้าวถ้าเห็นด้วยกับบวรศักดิ์ ตอนนั้นค้านทำไม ข้อแรก สูตรเยอรมันแท้ไม่เหมือนบวรศักดิ์ เพราะเขาตัดพรรคที่ได้ต่ำกว่า 5% ไม่ให้มีพรรคเบี้ยหัวแตกมากไป ข้อสอง บวรศักดิ์ดันเติม Open List ให้คนในพรรคแข่งกันเอง

-
คำถามคือในเมื่อระบบเลือกตั้งฉบับบวร ศักดิ์ ผ่านการถกเถียงจนตกผลึกแล้วว่าตรงไหนสังคมยอมรับไม่ยอมรับ ทำไมมีชัยจึงต้องคิดใหม่ให้พิลึกพิลั่น "ไม่เอาอย่างใคร" แถมยังต่อเติมอะไรประหลาดๆ เช่น แพ้ Vote No ไม่ให้สมัครใหม่ ทั้งที่เป็นอำนาจตัดสินใจของประชาชน คนเขาไม่เลือก ถ้ามันอยากสมัครอีก ก็เรื่องของมันสิครับ ทำไมต้องร่างรัฐธรรมนูญคุณพ่อรู้ดีไปบังคับเขา

-
ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยยัง "วาง" อีกหลายอย่างน่าจับตา เช่นกำหนด "หน้าที่" ให้รัฐบาลต้องทำ ถ้าไม่ทำอาจมี "สมาคมโลกแข็ง" ฟ้องศาลล้มรัฐบาลได้ ยังไม่นับ คปป. และ "ทุจริตตัดสิทธิตลอดชีวิต" ที่จะเป็นประเด็นใหญ่ ว่า "ทุจริต" ตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจแต่งตั้งอำพราง

-
อยากถามจังนี่ท่านจะร่างรัฐธรรมนูญหาจุดร่วมหรือร่างให้ทะเลาะกัน จนกลายเป็น "ไม่ปรองดองไม่ต้องเลือกตั้ง" อยากรู้จัง วิษณุ เครืองาม จะแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวอย่างไร ถ้าประชามติไม่ผ่าน

-
เอางี้ไหม ถ้าไม่ผ่านก็ปิดประเทศไปเลย ให้ลุงตู่อยู่ ชั่วกัลปาวสาน ไม่มีเลือกตั้งไม่ตายหรอก ฮิฮิ


Monday, March 14, 2016

คดีผู้หญิงยิง ฮอ ปี 53 ที่เราควรจดจำ ถึงความระยำของศาลไทย

คดีผู้หญิงยิง ฮอ ปี 53 ที่เราควรจดจำ ถึงความระยำของศาลไทย

-------------------- 

14 มี.ค.2559 ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกา คดียิงเฮลิคอปเตอร์ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 หมายเลขดำ อ.2702/2553 พนักงานอัยการจังหวัดพระโขนงเป็นโจทก์ ฟ้อง นางนฤมล หรือ จ๋า วรุณรุ่งโรจน์ อายุ 56 ปี นายสุรชัย หรือ ปลา นิลโสภา (เสียชีวิตแล้ว) และนายชาตรี หรือหมู ศรีจินดา อายุ 30 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด พ.ศ.2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 265, 268 โดยจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม

-
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

-
นายอาคม รัตนพจนารถ ทนายความของจำเลย 3 คนในคดีที่ถูกฟ้องว่านำปืนไปยิงเฮลิคอปเตอร์ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลฏีกาได้อ่านคำสั่งในวันนี้ว่าไม่รับฎีกาของอัยการโจทก์ในคดีนี้ เป็นผลให้คดีนี้ถึงที่สุด หลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว

-
อาคม กล่าวอีกว่า เหตุผลเบื้องต้นคือการที่อัยการได้ยื่นคำร้องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอฏีกาในคดีดังกล่าวและอัยการสูงสุดอนุมัติ แต่ปราฏกว่าในฏีกาฟ้องนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียว ทางทนายจำเลยจึงได้ต่อสู้ในข้อกฎหมายว่านับเป็นการที่โจทก์เสนอคำฟ้องใหม่ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้ยื่นฟ้องจำเลย 3 คนทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาไม่รับฎีกาในวันนี้จึงถือว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว จำเลยถือเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ทนายแจ้งว่าสัปดาห์หน้าจึงได้จะได้สำเนาคำสั่งศาลฎีกาซึ่งมีรายละเอียดที่สมบูรณ์

-
ส่วนเหตุการณ์ในกวันเกิดเหตุนั้น สื่อมวลชนรายงานว่า ระหว่างปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากการชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณถนนราชนำเนินนอกต่อเนื่องไปถึงถนนราชดำเนินกลาง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเฮลิคอปเตอร์บริเวณจุดปะทะการชุมนุม เป็นเหตุให้ พ.อ.มานะ ปริญญาศิริ ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่อาคม ทนายในคดีนี้ระบุว่า การยิงเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่มีปฏิบัติการโปรยแก๊สน้ำตาที่ถนนราชดำเนิน

-
เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า คดีนี้อัยการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน ขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มแนวร่วม นปช.กับเจ้าหน้าที่รัฐ จำเลยทั้งสามร่วมกันครอบครองอาวุธปืนกลเล็ก (เอเค 47) จำนวน 5 กระบอก ปืน เอ็ม 16 อีก 1 กระบอก ปืนคาร์บิน จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืน 17 อัน ลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารจำนวน 8 ลูก ระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 นัด ระเบิดแก๊สน้ำตาจำนวน 3 ลูก พร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ระเบิดแสวงเครื่องประกอบเอง 10 ลูก ขวดเครื่องดื่มชูกำลังบรรจุน้ำมันเบนซินประกอบเป็นระเบิดเพลิง 102 ขวด นอกจากนี้ ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 2 ได้ปลอมและใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมของกลางที่ บ้านเลขที่ 231 ซอยอ่อนนุช 17 แยก 3 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ

-
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2554 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานชุดจับกุมจะพบของกลางในบ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่กลับไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงเรื่องการจับกุมดังกล่าวรายงานกลับไปยังกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อีกทั้งหมายคำสั่งค้นก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่า ยึดสิ่งของใด อีกทั้งขณะตรวจค้นมีการถ่ายภาพปืนกลเล็กที่ซ่อนไว้ในถุงกอล์ฟ ที่ตรวจพบจากท่อระบายน้ำไว้กว่า 20 ภาพ แต่กลับไม่มีภาพดังกล่าวส่งให้พนักงานสอบสวน และไม่มีถุงกอล์ฟหรือถุงดำ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญ จึงให้สงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่ส่งหลักฐานดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนใช้ประกอบคดี อันเป็นข้อพิรุธ ทั้งจำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธมาตลอด มีเหตุสงสัยตามสมควร ส่วนที่โจทก์มีพยานอ้างว่า เห็นจำเลยทั้งสาม ใช้อาวุธสงครามยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ระหว่างการชุมนุมนั้น แต่โจทก์กลับไม่มีหลักฐานว่า จำเลยทั้งสามครอบครองอาวุธปืนมา แสดง พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัยว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องพวกจำเลย

-
จำเลยทั้งสามถูกคุมขังอยู่ระหว่างต่อสู้คดีนาน 1 ปี 4 เดือนเศษ จึงได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นพิพากษยกฟ้องแล้ว จากนั้นไม่นานสุรชัยเสียชีวิต ขณะที่ชาตรีอยู่ในเรือนจำในคดีอื่น ส่วนนฤมล หรือ จ๋า ได้รับอิสรภาพและเพียงไม่นานเธอถูกคุมขังอีกครั้งในคดีตีทหารจนศีรษะแตกเหตุเกิดในวันที่ 25 ก.พ.2552 ระหว่างที่นปช.มีการชุมนุม ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปีเธอถูกคุมขั้งตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.2555 จนครบกำหนดโทษ

-
ชีวิตอดีตจำเลยหลังติดคุก 2 รอบ
ด้านนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ อดีตจำเลยในคดีนี้ ให้สัมภาษณ์ภายหลังทราบผลว่าคดีนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ยังมีความเป็นธรรม ความยุติธรรมให้เธอและจำเลยคนอื่นในคดีนี้ แม้ต้องติดคุกอยู่นานปีเศษ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำประสบความยากลำบากเนื่องจากขาดญาติมิตรเยี่ยมและถูกบังคับให้รับประทานยาจากสถาบันกัลยาราชนครินทร์เนื่องจากเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีอาการเครียดหนัก แต่เธอปฏิเสธ จนกระทั่งได้ออกจากเรือนจำก็ต้องใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่นาน และขาดการติดต่อกับแฟนชาวญี่ปุ่นที่เคยส่งเงินบางส่วนให้ใช้จ่าย

-
"สิ่งที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแทบไม่มีเหลือ ตอนที่ไปจับก็รื้อค้นเหมือนรื้อกองขยะ รูปถ่ายก็ทิ้งหมด ตอนนี้ไม่เหลือรูปถ่ายซักใบ แม้กระทั่งใบเกิด เอกสารต่างๆ ไปหมด เสื้อผ้าก็รื้อทิ้งเป็นขยะเลย ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่หมด พวกโทรศัพท์ ที่อยู่คนต่างๆ ก็ถูกยึดไปราบ 11 หมด" นฤมลกล่าว

-
"ติดคุกแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่รอยแค้น รอวันที่ประชาชนเอาคืน เพราะคุณรังแกประชาชนไม่มีทางสู้ ประชาชนลืมไม่ลงหรอก รสชาตินี้" นฤมลกล่าว

-
หลังออกจากเรือนจำ เธอใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่นานกว่าจะตั้งหลักได้ในปัจุบันด้วยการประกอบอาชีพรับจ้างนวดแก้อาการในเวลากลางวันและทำมะม่วงแช่อิ่มฝากขายที่ร้านกาแฟในเวลากลางคืน

-
" ออกจากเรือนจำ หาที่ซุกหัวนอนยังไม่ได้ ซมซานไม่รู้เขาจะอายัดตัวไหม ออกมาเช่าโรงแรมม่านรูดถูกๆ นอนเป็นเดือน มันหลอนเรา เพราะตั้งแต่ออกประตูคุกมาก็มีคนตาม โชคดีได้พี่น้องช่วยเหลือบ้าง แล้วเราก็เริ่มทำสละลอยแก้วขาย มีม็อบตรงไหนก็เอาไปขาย จนติดคุกอีกรอบพวกหม้อเม่อก็หายหมด"

-
"ตอนนี้ก็เริ่มยึดการนวดเป็นอาชีพ ทำไปก็อกๆ แก๊กๆ รายได้มันไม่แน่นอน แล้วแต่ เพราะเราแค่เอาเตียงไปตั้งหลังร้านเขา ร้านคุยกับอดิศรที่ชั้น 4 อิมพีเรียล ลาดพร้าว เราแบ่งเขา 30% ค่าเช่าที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะก็ต้องใช้แอร์เขา อย่างวันนี้ได้ชั่วโมงนึง เมื่อวานไม่มีลูกค้าเลย วันไหนดีหน่อยก็ได้นวดถึง 4 ชั่วโมง แล้วตอนนี้ก็ทำมะม่วงแช่อิ่มฝากขายที่ร้านกาแฟของ Peace TV ชั้น 5 อิมพีเรียล เก็บเงินได้จะเช่าบ้านทำสละลอยแก้วให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะอุปกรณ์มันหายไปตอนติดคุกรอบที่แล้ว แล้วมันก็ต้องเช่าบ้าน เพราะต้องใช้ตู้แช่กับเตาแก๊ส ห้องเช่าเขาไม่อนุญาต" นฤมลกล่าว

-
นฤมลยังกล่าวอีกว่า ขอขอบคุณทนายอาคมที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือดำเนินคดีนี้โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย เพราะถึงคิดค่าใช้จ่ายเธอก็ไม่มีจ่าย

-
"ต้องขอบคุณทนาย ไม่ได้ทนายอาคมก็คงไม่มีโอกาส เพราะเราไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ให้เขาทั้งสิ้น อยากให้ผู้มีจิตศรัทธาหรือมวลชนที่มีโอกาสช่วยแกบ้างเป็นสินน้ำใจ เพราะแกช่วยเหลือคดีคนเสื้อแดงหลายคดี ขณะที่ตัวเองก็อายุเยอะ ป่วยหลายโรคและไม่ค่อยจะมีเงิน" นฤมลกล่าว 

แหล่งที่มา http://prachatai.org/journal/2016/03/64621


คำถาม ??? กองทัพบก กำลังจะซื้อรถถัง

Dhanatchai Chatchai

กองทัพบก กำลังจะซื้อรถถัง ข้ออ้างความโปร่งใส //////// --- ความโปร่งใสของกองทัพ คืออะไร มีตัวชี้วัดอะไรหรือแบบ ---สงสัยนะ ขอถามเพิ่มเติมน่ะ อยากทราบว่า ภัยคุกคามของประเทศ คืออะไร คือใคร ข้ออ้างประหยัด คุ้มค่า ///////ไหนที่สนับสนุน ข้ออ้างนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหวังว่าจะไม่ใช้วาทกรรม "ความลับ"หรือ "ความมั่นคง" ---กองทัพบกเองก็ยังไม่เข้าใจของศัพท์คำว่า ประหยัด คุ้มค่า เลย เพราะ ประหยัดมันก็คือความคุ้มค่า ขอสรุปง่ายๆนะ ความคุ้มค่า เท่ากับ output/input (output หารด้วย input ) output ต้องมากกว่า input เสมอ จึงเรียกได้ว่าคุ้มค่า เมื่อเราแปลง output เป็น benefit (ผลประโยชน์ตอบแทนในรูปตัวเงิน) และแปลง input เป็น cost (ค่าใช้จ่ายในรูปตัวเงิน) ---การอ้างความคุ้มค่า ขอดูเอกสารการวิเคราะห์ cost---benefit หน่อยซิ ข้ออ้างการเลือกแบบรถถัง /////// ---ใช้หลักการหรือทฤษฎีอะไรมาเลือกแบบรถถังล่ะ ใช้ทฤษฎีการตัดสินใจ (decision theory) หรือใช้ทฤษฎี Analytic hierarchy process รู้จักกันในนาม AHP หรือใช้หลักการ SWOT analysis อันไหนบอกมา ---ในข้ออ้างนี้จะสนับสนุนคำตอบของกองทัพได้ว่าจะเขียนแผนการจัดซื้อจัดหารถ ถังแบบไหน ข้ออ้างในเรื่องงบประมาณ ////// ---กองทัพบกได้ดำเนินการวิเคราะห์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง ordinal utility theory ว่า งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น จะให้ความสำคัญในด้านไหน เช่น วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างรถถังกับอาหาร หรือ รถถังกับสาธารณสุข หรือ รถถังกับการศึกษา ฯลฯ เป็นต้น ---กองทัพทุกกองทัพทั่วโลก มิได้รับการบรรจุลงในระบบบัญชีรายได้ประชาชาติของประเทศ เนื่องมาจากกองทัพไม่ได้เป็นหน่วยการสร้างรายได้ให้กับประเทศโดยแต่อย่างไร แต่กลับทำให้รายได้ประชาชาติของประเทศลดลง (พูดง่ายๆคือรูรั่วของระบบเศรษฐกิจ) ---กองทัพเคยคำนึงถึงเรื่องปัญหางบประมาณขาดดุลหรือไม่ มีความรู้เรื่องฐานะการคลังของประเทศบ้างหรือเปล่า แล้วมันจะส่งผลไปยังดุลชำระเงินระหว่างประเทศ เชื่อมโยงไปยังบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหากมันติดลบแล้วมันจะก่อให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ---กองทัพเคยดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ทำ smart buyer และ smart user หรือไม่ (ถามเหอะรู้เรื่องที่ว่านี้หรือเปล่า) คำแปลกับความหมายคนละเรื่องเดียวกันนะ ความหมายก็คือ ทำการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย อาวุธ ก่อนจัดซื้อจัดหา เพราะอย่างน้อยต้องตรวจสอบดูว่าเหมาะกับการใช้ในพื้นที่ของไทยหรือเปล่า โดยเฉพาะปัญหาความชื้นของประเทศที่มีผลต่ออาวุธ หรือมีความเหมาะสมกับภารกิจบางอย่างของไทยหรือไม่ (((ปัญหาคือตัวอาวุธเป็น investment เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาเหนือน้ำทะเล 35% แต่หลังจากรับมาแล้วมันจะมีค่าปฏิบัติการและซ่อมบำรุง หรือ operating and maintenance cost ที่เป็นภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำทะเลอีก 65% และยังมีปัญหาอื่นๆอีก ได้แก่ อาวุธบางอย่างเราไม่สามารถซ่อมเองได้ ต้องส่งไปซ่อมยังต่างประเทศ)))

หัวใจสำคัญ ของทฤษฎีปฏิวัติปวงชน มดแดงล้มช้าง


หนึ่ง การพัฒนาศักยภาพประชาชน คือหัวใจสำคัญที่สุดของกระบวนการปฏิวัติ (ปัจจัยสู่ชัยชนะ) และผลของการปฏิวัติ (ชัยชนะ) ที่ยั่งยืน โดยปัจจัยที่เอื้อให้การพัฒนาและการประสพชัยชนะได้อย่างแท้จริงและรวดเร็ว คือ ความไม่กลัว ความฉลาดเท่าทันเกมเผด็จการ และการใช้ความได้เปรียบทุกรูปแบบในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

สอง ต้องเน้นการใช้จุดแข็งสู้จุดอ่อนของเผด็จการ กล่าวคือ ต้องใช้ความได้เปรียบเช่น จำนวนอันมหาศาลของประชาชนผู้ถูกกดขี่ ความชอบธรรมของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง หลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก สันติวิธีที่จะทำให้อำนาจปืนและอำนาจเถื่อนเสื่อมสมรรถภาพ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดที่ช่วยเผยแพร่ความรู้ ความจริง ข่าวสาร และการประสานงาน ตลอดจนความได้เปรียบทางชัยภูมิ

สาม ต้องยืนบนหลักการสากล อันได้แก่ หลักประชาธิปไตยที่แท้จริงและสมบูรณ์ หลักสิทธิมนุษยชน สันติวิธี และความจริง คือสิ่งดีที่ปวงชนปฏิวัติต้องยึดถือและพัฒนาตัวเองให้สอดคล้อง ในขณะที่จะต้องต่อต้าน ขจัด หรือทำลายสิ่งที่ตรงข้ามในทุกมิติที่ทำได้ บนสติและความหยั่งรู้ว่า ปวงชนต้องทำตัวหรือยกระดับคุณภาพของตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นเป้าหมายของการปฏิวัติด้วย (เทียบเคียงได้กับหัวใจของศาสนาพุทธ คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้ปราศจากกิเลส)

สี่ ประชาชนจะต้องเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง (ระบอบ) ที่ครอบงำ เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ ข่มเหง และยัดเยียดความทุกข์ให้พวกเขาในทุกมิติ คือ การเมืองการปกครอง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา ศาสนา สาธารณสุข และการต่างประเทศ โดยต้องเข้าใจว่า ตัวบุคคล โครงสร้างองค์กรหรือสถาบันต่าง ๆ กลไกและเครื่องมือต่าง ๆ ความเชื่อและวิถีปฏิบัติที่ครอบงำ (วัฒนธรรม) และจิตสำนึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นที่ได้เปรียบหรือเอาเปรียบ และจะต้องช่วยกันยกระดับคนรอบข้าง ให้เป็นผู้รู้และเข้าใจอย่างเท่าทันต่อการกดขี่และเอารัดเอาเปรียบเชิงโครงสร้างเหล่านั้น เพื่อเป็นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในทุกมิติ

ห้า ความสำเร็จของการปฏิวัติประชาชนในยุคปัจจุบัน ต้องอยู่บนความพร้อมของปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่สานสอดกัน คือ มวลชนที่พร้อมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อุดมการณ์ร่วมและแนวทางที่เป็นเอกภาพ ขบวนนำที่มีความชอบธรรมและจริงจังต่อระบอบประชาธิปไตย กองทัพที่ต้องรับใช้ประชาชน และมหามิตรประเทศที่พร้อมช่วยเหลืออย่างจริงจัง

หก เป้าหมายของการปฏิวัติ เป็นไปตามยุทธศาสตร์รับ ยัน รุก และรุกฆาต ในแต่ละมิติตามภาววิสัยที่เป็นจริง แต่จะต้องมุ่งให้ประชาชนตาสว่างทั้งแผ่นดิน ต่อต้านขัดขืนสิ่งชั่วร้ายในทุกมิติ แล้วไม่ยอมรับให้ผู้ปกครองเถื่อนปกครองอีกต่อไป และเมื่อความพร้อมมาถึง ประชาชนจะยึดอำนาจคืนมา เพื่อจัดการสร้างชาติใหม่บนหลักการในข้อ สาม ข้างต้น (ล้มช้าง สร้างชาติ)

เจ็ด การปฏิวัติประชาชนมดแดงล้มช้าง ต้องยึดหลักการใช้พลังธรรมอันมหาศาลขับไล่อธรรม หรือเอาน้ำดีมหาศาลไล่น้ำเสีย เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอย่างควบคุมไม่ได้และยืดเยื้อเกินไป เช่นการสังหารประชาชนมือเปล่าอย่างโหดร้าย หรือสงครามกลางเมือง หรือการแทรกแซงของต่างประเทศ บนความเสียหายของชาติอันใหญ่หลวง

แปด การปฏิวัติประชาชนมดแดงล้มช้าง ถือเป็นการแก้ปัญหาในบ้านของคนไทยทุกคน ที่เป็นพี่น้องร่วมชาติ ไม่ใช่ศัตรูต่างด้าวที่ต้องเข่นฆ่ากันให้อาสัญ ดังนั้น เป้าหมายจึงอยู่ที่การสร้างสภาวะที่ทำให้คนที่ทำผิดได้เกิดสำนึกแล้วกลับตัว เพื่อก้าวร่วมกันต่อไป ดังนั้น การคิดสร้างสรรค์ การปรับจิตสำนึก การให้ความเป็นธรรม การเคารพหลักสิทธิมนุษยชน และการใช้อารยวิธี จึงเป็นสิ่งที่ขบวนปฏิวัติต้องยึดถือด้วยความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของบ้านเกิดเมืองนอนร่วมกันของประชาชนทุกคน

เก้า การลุกขึ้นประกาศจุดยืนไม่ยอมรับการปกครองอันมิชอบของเครือข่ายเผด็จการทรราชย์โดยคนไทยทั่วประเทศในทุกจังหวัด คือวันดีเดย์ของการรุกฆาตต่อระบอบเผด็จการ และวันนั้น จะถูกกำหนดด้วยความพร้อมของทั้งขบวนในข้อห้า และภาววิสัยที่เอื้อให้เกิดความสำเร็จที่ยั่งยืนบนความเสียหายที่น้อยที่สุด

สิบ ชัยชนะที่แท้จริงที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน คือการเปลี่ยนให้ประชาชนเป็นผู้รู้และเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง แล้วยกตนขึ้นเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้วยวิถีปฏิวัติในแต่ละวันที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อประชาชนคือผู้ที่ทำตัวสอดคล้องกับหลักการการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนได้จนเป็นนิสัยประจำชาติแล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนจึงจะได้รับการประกันในที่สุด

ลิ้งค์สำหรับดาวน์โหลดเพื่อเผยแพร่ pdf: http://tinyurl.com/jpsbcvn

ดร. เพียงดิน รักไทย 25 กุมภาพันธ์ 2559 (สรุปและพัฒนาจากความคิดเดิม เมื่อปี 2554)

สิ่งควรรู้ว่าด้วย ทะเลจีนใต้ ------- /

  • Dhanatchai Chatchai

    ทะเลจีนใต้ ------- ///////// ก)เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก มีขนาดใกล้เคียงกับทะเลเมดิเตอเรเนียน ข)ความยาวตั้งแต่เกาะไต้หวันถึงเกาะสุมาตรา ๑๘๐๐ ไมล์ทะเล ความลึกของน้ำทะเลสูงสุด ๕๕๑๔ เมตร ค)ประเทศตามชายฝั่งทะเลจีนใต้ ประกอบด้วย จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน อินโดนิเซีย สิงคโปร์ ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยจีนมีแนวคิดว่า ทะเลจีนใต้เป็นอาณาจักรทางทะเลของตน ซึ่งทำให้จีนต้องการที่จะขยายอาณาจักรไปทั่วทะเลจีนใต้ ง)ทะเลจีนใต้จะมี เกาะ แก่ง แนวปะการัง หินโสโครก สันทรายใต้น้ำและโขดหินกระจายอยู่หลายเกาะ ตามบริเวณพื้นที่ในทะเล แบ่งออกเป็น หมู่เกาะพาราเซล หมู่เกาะสแปรตลี หมู่เกาะปราตัส และหมู่เกาะแมคเคิลฟิลด์แบงค์ จ)ปัญหาการอ้างสิทธิเป็นเจ้าของหมู่เกาะสแปรตลี มีการอ้างซ้ำซ้อนกันอยู่ นั้น ประกอบด้วยประเทศ จีน ไต้หวัน เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ง)ในเดือนกุมภาพันธุ์ ๒๕๓๖ จีนได้ผ่านกฎหมายฉบับหนึ่ง ระบุให้หมู่เกาะสแปรตลีเป็นเขตอธิปไตยของตน มีสิทธิที่จะขับไล่ผู้บุกรุกได้ทันที จ)จีนยังได้ลงนามในข้อตกลงตามช่วงเวลาดังกล่าวกับบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของสหรัฐ เพื่อสำรวจขุดเจาะน้ำมันในบริเวณหมู่เกาะสแปรตลี ฉ)นับตั้งแต่นั้นมา จีนใช้อำนาจกำลังรบทางเรือเข้ารุกคืบคลานคืบหน้าไปทีละเกาะ เริ่มจากสร้างอาคารพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะ mischief reef เดิมที่มีอยู่แล้ว ขยายไปเรื่อยๆจนเข้ายึดหมู่เกาะสแปรตลี ทั้งหมดในที่สุดจน ณ ขณะนี้ จนจีนสามารถควบคุมจุดยุทธศาสตร์ที่สำคญที่สุด และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจมากที่สุดเอาไว้ด้วย

  • ๑)ทะเลจีนใต้ เป็นทางคมนาคมทางทะเลที่สำคัญสายหนึ่งของโลก โดยเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก คือเชื่อมภูมิภาคตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้กับเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือ ๒)เส้นทางคมนาคมในทะเลจีนใต้ที่สำคัญคือ เส้น NE/SW ที่ผ่านด้านตะวันตกของหมู่เกาะสแปรตลี ที่มีระหว่างห่างประมาณ ๑๕๐ ไมล์ อีกเส้นหนึ่งที่ผ่านด้านตะวันออกของหมู่เกาะสแปรตลี การขนส่งสินค้าทางทะเลทั่วทั้งโลกนี้ ประมาณ ๙๕ % เป็นการขนส่งทางทะเลในทะเลจีนใต้ถึงราวๆ ๕๑ % ทั่วทั้งโลก ๓)การเดินทางทางทะเลหรือการขนส่งทางทะเลที่ผ่านเข้าออกด้านทะเลจีนใต้ในทางด้านเหนือนั้น คือเส้นทางทางทะเลที่ผ่านระหว่างไต้หวันกับฟิลิปปินส์ โดยมีเส้นทางการเดินทางหรือการขนส่งสินค้าทางทะเลด้านใต้นั้น จะมีเส้นทางทางทะเลที่ผ่านช่องแคบที่สำคัญ ๓ ช่องทาง คือ --๓/๑)ช่องแคบมะละกา ///// เป็นช่องทางหลักระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้ ยาวประมาณ ๖๐๐ ไมล์ทะเล กว้าง(ทางด้านตะวันตก)ประมาณ ๓๐๐ ไมล์ทะเล แล้วค่อยๆแคบลงมากขึ้นเมื่อผ่านเข้าไปยัง PHILLIP CHANNEL และช่องแคบสิงคโปร์ จนเหลือความกว้างน้อยที่สุดเพียง ๓ ไมล์ทะเล แต่มีช่องทางเดินเรือเพียง ๑.๕ ไมล์ทะเล ซึ่งช่องแคบมะละกานี้มีความยาว ๗๕ ไมล์ทะเล และความลึกของน้ำทะเลนี้โดยเฉลี่ยค่อนข้างตื้น บางแห่งลึกเพียง ๗๒ ฟุต ซึ่งองค์การสหประชาชาติถึงกับกำหนดไม่ให้เรือที่กินน้ำลึกเกิน ๖๕ ฟุต(หรือประมาณ ๒๐ เมตร) ผ่านช่องแคบมะละกา เส้นทางทางทะเลนี้จะไปผ่านเส้นทางทะเลด้านฝั่งตะวันตกของเกาะบอร์เนียวแล้วขึ้นเหนือไปหมู่เกาะสแปรตลี ***(หมายเหตุตรงนี้ การขุดคลองกระ ต้องขุดบนบกอย่างน้อย ๕ ไมล์ทะเล เพราะจะเหลือช่องทางลงครึ่งหนึ่ง โดยจะต้องให้เรือสวนทางกันได้อย่างปลอดภัย และสองผั่งคลองก็เป็นที่พักเรือจอดเรือ ปัญหาคือเรื่องความลึก หากต้องการความลึกเท่าหรือใกล้เคียงกับร่องน้ำช่องแคบสิงคโปร์ ต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบกันอย่างละเอียดว่าประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร หรือต้องการให้มีความลึกในระดับที่เรือขนาดใหญ่ที่กินน้ำลึกมากมาผ่าน สมมติว่าประมาณ ๑๐๐ เมตรหรือ ๓๐๐ ฟุตขึ้นไป จะต้องมีการขุดลอกลงไปที่พื้นดินในอ่าวไทยไปอีก(อ่าวไทยมีความลึกอยู่ที่ประมาณ ๑๐-๕๐ เมตร หรือ ๓๐-๑๕๐ฟุต ปัญหาอีกอย่างคือ หากเรือจอดแวะที่ท่าเรืองคลองกระไทย ยังคงได้รับประโยชน์ แต่ถ้าแล่นผ่านไปเฉยๆ ประเทศไทยจะได้เพียงค่าผ่านทางเล็กน้อย ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก และปัญหาที่น่าคิดคือคลองกระจะเป็นสถานที่มาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญคือกองกำลังทางเรือนานาชาติจะมีท่าทีและแสดงออกอย่างไร)*** --๓/๒)ช่องแคบซุนดา ////// ยาวประมาณ ๕๐ ไมล์ทะเล มีกระแสน้ำแรง และมีความลึกของน้ำไม่มากนัก สามารถร่นระยะทางได้เพียง ๑๕๐ ไมล์ทะเล(เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นทางที่ผ่านช่องแคบลอมบ็อค) ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของช่องแคบซุนดา(ระหว่างเกาะสุมตรากับเกาะชวา) มีความกว้าง ๑๕ ไมล์ทะเล มีเกาะแก่งจำนวนมาก และค่อนข้างอันตราย เรือสินค้าขนส่งทางทะเลจะใช้ช่องแคบซุนดาน้อยมาก โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่มีขนาด ๑๐๐๐๐๐ ตันขึ้นไป จะไม่ใช้เส้นทางช่องแคบนี้ การเดินเรือเส้นทางนี้ผ่านช่องแคบซุนดาไปผ่านเส้นทางทะเลด้านฝั่งตะวันตกของเกาะบอร์เนียวแล้วขึ้นไปทางเหนือไปยังหมู่เกาะสแปรตลี --๓/๓)ช่องแคบลอมบ็อค ///// อยู่ระหว่างเกาะบาหลี(ด้านตะวันตก)กับเกาะลอมบ็อค(ด้านตะวันออก) เป็นช่องแคบที่มีขนาดความกว้างต่ำสุดประมาณ ๑๑.๕ ไมล์ทะเล และมีความลึกกว่า ๑๕๐ เมตร ซึ่งใช้เป็นเส้นทางเดินเรือทางทะเลสำรองที่สำคัญ จากช่องแคบลอมบ็อคขึ้นไปทางเหนือผ่านช่องแคบมากัสซ่าร์ อยู่ระหว่างเกาะบอร์เนียว(ด้านตะวันตกของเส้นทางเดินเรือ)กับซาราวาสี(ด้านตะวันออกของเส้นทางเดินเรือ) ขึ้นไปทางเหนือออกได้ ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางทะเลตะวันออกของฝั่งประเทศบรูไนแล้วออกไปที่หมู่เกาะสแปรตลี อีกเส้นทางแยกออกไปทางใต้ของหมู่เกาะตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ออกทะเลฟิลิปปินส์

  • ปัญหาในทะเลจีนใต้ --------- ประกอบด้วย // 1)ความขัดแย้งจากการที่อาณาเขตทางทะเลของประเทศชายฝั่งเหลี่ยมทับกัน 2)ความขัดแย้งจากการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะหรือหมู่เกาะของรัฐชายฝั่ง --ก)ความขัดแย้งจากการที่อาณาเขตทางทะเลของประเทศชายฝั่งเหลี่ยมทับกัน (๑)บริเวณอ่าวตังเกี๋ย เป็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับเวียดนาม มีสาเหตุ (๑/๑)การอ้างแนวเขตแดนทางทะเลของเวียดนามตามอนุสัญญาระหว่างจีนกับฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๓๐ ที่กำหนดให้เส้นลองติจูด ๑๐๘ องศา ๓ ลิปดา ๑๓ ฟิลิปดาตะวันออก เป็นเส้นแบ่งเขตแดน และเวียดนามอ้างว่าอ่าวตังเกี๋ยเป็นอ่าวประวัติศาสตร์ (๑/๒)จีนยืนยันว่าไม่เคยมีการแบ่งอ่าวตังเกี๋ยและเส้นเขตแดนที่เวียดนามอ้างนั้น และได้ล้ำเขตเข้าไปทางเกาะไหลหลำของจีน นอกจากนี้เขตไหล่ทวีปของเวียดนามยังยาวไปจรดทะเลอาณาเขตของจีนด้วย ทำให้เกิดพื้นที่ขัดแย้งประมาณ ๒๔๐๐๐ ตารางไมล์ (๑/๓) จีนและเวียดนามได้มีการเจรจากันถึง ๓ ครั้ง เมื่อ ๑๐ มิถุนายน และ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยทางจีนเสนอให้พื้นที่สี่เหลี่ยมตอนกลางอ่าวเป็นเขตปลอดการสำรวจจนกว่าจะมีการตกลงเกี่ยวกับเส้นเขตแดนทางทะเล (๑/๔) เมื่อ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ จีนมีข้อเสนอให้แบ่งพื้นที่อ่าวตังเกี๋ยออกเป็นสองส่วนในลักษณะครึ่งต่อครึ่ง แต่ผลการเจรจาไม่คืบหน้าเพราะเวียดนามยืนกรานตามอนุสัญญาเดิม ซึ่งเหตุก็คือเวียดนามได้ครอบครองพื้นที่เกือบ ๒ ใน ๓ ของอ่าวตังเกี๋ย (๑/๕) จีนได้แสดงท่าทีก้าวร้าวต่อปัญหาอ่าวตั๋งเกี๋ย และได้ดำเนินการสำรวจปิโตรเลียม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒—พ.ศ. ๒๕๒๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และ พ.ศ. ๒๕๓๕ --- พ.ศ.๒๕๓๖ (๑/๖) นอกจากนี้ จีนยังได้ออกกฎหมาย(น่าจะเป็นกฎหมายภายใน)รับรองการประกาศทะเลอาณาเขต เมื่อ ๒๕ กุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งได้ประกาศปิดกั้นการเดินเรือบริเวณที่จีนทำการสำรวจแหล่งปิโตรเลียม /////////// ***(( หมายเหตุ ขยายความ เรื่องกฎหมายภายใน หลังจากที่ประเทศต่างๆได้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ แล้วนั้น ประเทศเหล่านั้นจะต้องไปดำเนินการออกหรือตรากฎหมายภายในประเทศของตนรองรับการลงนามนั้น เพื่อให้มีผลบังคับการใช้กฎหมาย และจะมีผลไปถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ในกรณีที่เกิดอนุโญตุลาการ หรือมีการละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามทั้งกฎหมายภายในและสิ่งที่ได้ลงนามไปแล้ว ในทำนองเดียวกัน กับกรณีของประเทศไทยคือ หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามบทบัญญัติในข้อต่างๆที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ จักต้องไปดำเนินการออกกฎหมายต่างๆออกมารองรับหรือที่เราเรียกกันว่า กฎหมายลูก อย่าว่าแต่รัฐธรรมนูญปี ๕๐ เลยที่ไม่มีกฎหมายลูก แม้แต่ในรัฐธรรมนูญปี ๔๐ ก็ยังออกหรือตรายังไม่ครบเลย ดังนั้นจึงเกิดการตีความแบบไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย ทำให้การวินิจฉัยกฎหมายไม่มีมาตรฐานพูดง่ายคือวินิจฉัยแบบมั่วๆ อย่างกรณีคดีคุณสมัคร และมักจะตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบเข้าข้างตัวเอง เห็นได้จากที่มีการวินิจฉัยตัดสินคดีความในหลายกรณีที่ไม่สามารถอ้างเหตุผลทางกฎหมายได้เลย ))***
  • (๒)บริเวณตอนเหนือของหมู่เกาะนาตูนา เป็นปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับอาณาเขตไหล่ทวีป ระหว่างเวียดนามกับอินโดนิเซีย มีสาเหตุมาจากการกำหนดเส้นฐานของเวียดนามเหลี่ยมทับซ้อนกับแนวเขตแดนทางทะเลของอินโดนิเซีย ทำให้มีพื้นที่ที่เป็นปัญหาประมาณ ๑๑๗๓๗ ตารางไมล์ทะเล ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณแอ่งน้ำมันขนาดใหญ่ ๒ แห่ง และอยู่ใกล้กับแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ของอินโดนิเซีย เวียดนามและอินโดนิเซียได้เคยเจรจากันเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ แต่ต้องชะงักไปเมื่อเวียดนามได้รวมประเทศใน ปี พ.ศ.๒๕๑๘ ต่อมาภายหลังได้มีการปรับปรุงความสัมพันธ์ในขั้นปกติขึ้นมาใหม่ระหว่างเวียดนามกับอินโดนิเซีย และได้มีการเจรจากันอีกครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นต้นมา แต่ปัญหานี้ก็กลับมีท่าทีจะยุ่งยากขึ้นมาอีก เนื่องจากอาณาบริเวณพื้นที่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนได้อ้างกรรมสิทธิ์ภายใต้เส้น U --- SHAPE LINE นั้น โดยจีนได้รวมส่วนหนึ่งของแหล่งก๊าซธรรมชาติของอินโดนิเซียที่บริเวณหมู่เกาะนาตูนาด้วย ----- (๓)บริเวณตะวันออกของอ่าวไทย เป็นปัญหาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทย กับกัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งบริเวณตะวันออกของอ่าวไทยมีพื้นที่ขัดแย้งประมาณ ๒๔๒๒๑ ตารางไมล์ทะเล แยกเป็นพื้นที่เหลี่ยมทับซ้อนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามประมาณ ๑๔๕๘๐ ตารางไมล์ทะเล พื้นที่เหลี่ยมทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชาประมาณ ๕๗๙๘ ตารางไมล์ทะเล และพื้นที่เหลี่ยมทับซ้อนระหว่างไทยกับเวียดนามประมาณ ๑๗๗๑ ตารางไมล์ทะเล เหตุแห่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เนื่องมาจากคือไทย กัมพูชา และเวียดนาม ต่างฝ่ายต่างก็กำหนดอาณาเขตทางทะเลของตนเองโดยลำพัง ไม่ได้มีการเจรจากันมาก่อน ---- ไทยกับเวียดนามได้มีการเจรจากันอย่างเป็นทางการต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามเห็นพ้องกันว่าควรจะเน้นการแบ่งเขตระหว่างกัน บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ(ว่าด้วยเรื่องทะเล) ก่อนที่จะมีการเจรจาเรื่องการพัฒนาร่วม --- ไทยกับกัมพูชาได้เริ่มมีการเจรจากันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพราะทางกัมพูชาต้องการจะจัดทำเป็นพื้นที่พํฒนาร่วมในเขตไหล่ทวีปที่อ้างการทับซ้อนกันโดยไม่ยอมปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ให้พิจารณาแบ่งเขตทางทะเลก่อน จึงทำให้การเจรจาไม่บรรลุผล ***((การเจรจาที่เป็นไปได้และมีแนวโน้มในผลสัมฤทธิ์คือ ในสมัยนายกฯทักษิณ ที่สามารถเจรจาและสามารถตกลงกันได้ในหลักการกันได้ แต่หลังรัฐประหารของสนธิบัง ก็กลับไปยังที่เดิม เรื่องนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อมีการนำปัญหานี้เข้าไปเสนอนายกฯทักษิณในตอนแรกๆนั้น นายกฯทักษิณไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรเพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายทะเลมาก่อน แต่บังเอิญเป็นโชคของนายกทักษิณที่ช่วงนั้นมีผู้ที่จบด้านนี้มาโดยตรงและทำงานอยู่กับในทีมการเมืองของท่าน จึงได้ดำเนินการจัดทำเอกสารสรุปให้ท่านอ่านและก็บรรยายสรุปให้ท่านฟัง นายกฯทักษิณไปนั่งทำความเข้าใจด้วยอาการมึนนานอยู่หลายวัน จนถึงบางอ้อ เลยทำให้รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เหตุผลที่ดำเนินการเจรจาแล้วสำเร็จ เพราะ หนึ่ง ท่านศึกษาจนรู้ว่าปัญหามันคืออะไร และอยู่ตรงไหน สอง ท่านไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าวนี้ซึ่งท่านก็ยอมรับ แต่ท่านว่างเมื่อไหร่ท่านก็มานั่งทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ สาม ท่านรู้จักหาและใช้คนที่มีความรู้ในด้านนั้นๆ ไม่อวดตัวว่ารู้ เพราะท่านเคยกล่าวเสมอว่ามันเป็นเรื่องอันตรายในการแก้ปัญหาหากเราไม่รู้จริง ))***

  • วิพากษ์ดวงเมืองไทย

  • Dhanatchai Chatchai

    วิพากษ์ดวงเมืองไทย ////// วิถีของสรรพสิ่ง ย่อมมีจุดกำเนิด โดยวิถีของคนก็จะมีเส้นทางชะตาชีวิตของแต่ละคน โดยผ่านมุมมองของการวางดวงชะตาตามหลักโหราศาสตร์ หากเป็นสรรพสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ชีวิตก็มีการวางดวงชะตาเช่นกัน อย่างการวางศิลาฤกษ์ เป็นต้น หรือเรื่องเกี่ยวกับเมือง ปกครอง สังคม คือ การวางดวงเมือง ทั้งหมดมันบ่งบอกถึง ทุน(หากเป็นคนคือทุนของชีวิต) กรรมคือการถือกำเนิดขึ้นมาที่มาพร้อมกับเรื่องในอดีตชาติว่ากระทำอะไรมา และเรื่องในวันข้างหน้า(ดี เลว รุ่ง ฟุบ) ว่าจะต้องปฏิบัติอะไร อย่างไร เรื่องที่ไม่ควรกระทำ(นี่คือจุดเริ่มต้นของศาสตร์พยากรณ์ ที่เรียกแบบเป็นทางการว่า โหราศาสตร์) พิเคราะห์ดวงเมืองจากรูปดวงชะตา ///////// (๑)เริ่มต้นจากราศีแรกคือราศีเมษ(จะเห็นลัคนา ย่อด้วยตัว ล และมีเลข ๑ ) วนไปทางซ้าย ถัดไปคือราศีพฤษก เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุล พิจิก ธนู มังกร กุมภ์ และมีน ราศีสุดท้าย --------- (๒)ในราศีเมษ จะมีดาว อาทิตย์(๑) และลัคนา(เหตุผลมีความเชื่อตามพราหมณ์ว่าจุดเริ่มต้นอยู่ที่เขาพระสุเมรุ อาทิตย์ให้พลังหรือสร้างพลังกับเจ้าของดวงชะตา คือความเป็นใหญ่ หากเป็นคนคือผู้เป็นใหญ่ และหมายถึง ผู้ชาย)------ (๓)ในราศีพฤษก จะมีดาวอังคาร(๓) และดาวเกตุ(๙) (อังคารหมายถึงทหาร)------- (๔)ในราศีเมถุน จะมีดาวมฤตยู(๐)------ (๕)ในราศีกรกฎ จะมีดาวจันทร์(๒) (จันทร์หมายสตรีหรือผู้หญิง)------ (๖)ในราศีธนู จะมีดาวพฤหัส(๕) และดาวเสาร์(๗)------- (๗)ในราศีมีน จะมีดาวพุธ(๔) ดาวศุกร์ (๖) และดาวราหู(๘)------- เหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง /////// (1)มีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว อยู่ในหลุม (2)บรรดานักปราชญ์ผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต (3)เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นอาเพท คือเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท (4)เหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองนั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้นพระเคราะห์เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี (5)พิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคาถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย พร้อมกับงูเล็ก 4 ตัว (6)งูในหลุม 4 ตัวนั้น โบราณทราบกันว่า มันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ว่าเป็นการสิ้นสุดของระบอบ ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ (1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ (3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมือง (7) ดังนั้นเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ได้ทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ ด้วยการร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้ (8) อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการนั้น ประกอบด้วยเหตุสองประการคือ (ก) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง (ข) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง ________ ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์เหล่านั้นไว้เป็นอันขาด (9)ในความจริงที่แน่นอนคือ มีการอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เข้ามาประกอบพิธีด้วย โดยให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล( ซึ่งเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมือง)

  • Dhanatchai Chatchai
    3/8, 5:11am
    Dhanatchai Chatchai

    ดวงเมืองประเทศไทย:ว่าตามหลักการทางโหราศาสตร์ --------------- ดูตามดวงชาตาแล้ว ดวงเมืองมีลัคนาสถิตอยู่ที่ราศีเมษ ถูกขนาบด้วยราศีพฤษกที่มีดาวบาปเคราะห์คือ อังคาร(๓) และราศีมีนที่มีดาวบาปเคราะห์คือ ราหู(๘) /// ในราศีธนู ดาวพฤหัสบดี(๕)เป็นดาวศุภเคราะห์ ถูก(เบียด)เบียนด้วยดาวเสาร์(๗) และยังเล็งกับดาวมฤตยู(๐)ที่อยู่ในราศีเมถุน อันเป็นดาวบาปเคราะห์ทั้งคู่ /// ดวงเมืองของประเทศไทยมีจุดเสื่อมอยู่ 3 จุดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเป็นไปตามหลักการแห่งโหราศาสตร์อย่างเข้มงวด ดังนี้ จุดที่ ๑) จุดที่เป็นตำแหน่งร่วมของดาวพฤหัส(๕) กับดาวเสาร์(๗)ในราศีธนู ซึ่งหลักการของโหราศาสตร์ในเรื่องการวางเรือนหรือภพ (พูดง่ายๆก็คือบ้าน) ซึ่งราศีธนูนี้เป็นเรือนศุภะ เป็นเรือนที่ให้ประโยขน์ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นไปตามปกติของการโคจร แต่ในความเป็นจริง ดาวสองดวงนี้พักร์องศา (คือเดินหรือโคจรถอยหลัง) ก็กลับเป็นผลเสียมากกว่า จุดที่ ๒) ในเรือนหรือภพที่ ๑๒ ราศีมีน ที่เป็นเรือนวินาศน์กับลัคนา(ซึ่งเป็นเรือนที่หนึ่ง) เรือนวินาศน์นี้มีดาวพุทธ(๔) ดาวศุกร์(๖) และดาวราหู(๘) มาอยู่ร่วมกัน ดาวพุทธ(๔)มีลักษณะเป็นประคือแบบครึ่งๆกลางๆ และมีความหมายในทางวาจา รวมๆก็คือพูดไม่ครบเรื่องราวต่างๆหรือพูดไม่หมด เมื่อมาร่วมกับดาวราหู(๘)ในทางศัตรูหรือคู่แข่งแล้ว ภายในประเทศมีแต่คนพูดเต็มไปหมด(ทั้งใส่ร้ายใส่ความ) ภายนอกประเทศก็มีเรื่องการใช้วาจาโต้ตอบกันหรือทะเลาะกับต่างประเทศ ดาวศุกร์(๖) มีความหมายในเรื่องการเงินหรือทรัพย์สิน เมื่อมารวมกับดาวราหู(๘)ในความหมายเชิงศัตรูหรือคู่ปรับกัน จะให้ความหมายในเชิงเงินเป็นศัตรู ก็คือ การกู้เงิน จุดที่ ๓) คือจุดที่ดาวอังคาร(๓) ที่อยู่ในราศพฤษกได้ส่งกำลังไปถึงดาวเสาร์(๗) ที่อยู่ในราศีธนู ชนิดเต็ม ๑๐๐ % เพราะดาวอังคาร(๓)เป็น ๘ กับดาวเสาร์ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ (ให้นับ ๑ ที่ดาวอังคารในราศีพฤษก แล้วนับแบบเวียนไปทางซ้าย คือนับ ๒ ในราศีเมถุน จนถึงนับ ๘ ในราศีธนู เพิ่มเติม ตามหลักเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ หากนับได้เลขคี่ ส่วนใหญ่จะดี แต่หากนับได้เป็นเลขคู่แล้ว ส่านใหญ่จะไม่ค่อยดี) ดาวอังคาร(๓)กับดาวเสาร์(๗) หากเป็น ๘ กันแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเกิดพวกภัยพิบัติ //// ตอนนี้มาลองพิจารณาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง-------------------- ๑)ดาวพฤหัส(๕) เป็นดาวประจำประเทศไทย ตำแหน่งของดาวในดวงชาตา ตั้งอยู่ในจุดอันถูก(เบียด)เบียนอย่างรุนแรงมาก คือถูกดาวเสาร์(๗)กุม (ครอบงำ) และเล็ง (ทางโหราศาสตร์จีน คือ ชง )กับดาวมฤตยู(๐) เมื่อพิจารณาดาวเสาร์(๗) (เบียด)เบียนดาวพฤหัส(๕)ในราศีธนู ซึ่งกุมในภพหรือเรือนที่ ๑ แล้ว ดาวราหู(๘) ซึ่งเป็นจุดคราสเบียนในภพที่ ๔ ในราศีมีน ดาวมฤตยู(๐)เบียนในภพที่ ๗ อยู่ในราศีเมถุน นี่ย่อมแสดงว่าประเทศไทย(ดาวพฤหัสคือดาว ๕ ) ภายใต้ราชวงส์จักรี จะมีภัยที่ต้องผจญและเผชิญทุกรอบข้าง อันได้แก่ จีน (ดาวเสาร์) ญี่ปุ่น(ดาวมฤตยู) พม่า(ดาวเสาร์) กัมพูชา(ดาวพุธ) และลาว(ดาวพุธ) ๒)ดาวมฤตยู(๐) บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ๓)เหตุการณ์บางเรื่องบางอย่างจะบ่งบอกถึงอาเพทที่กำลังจะเกิดขึ้น อันได้แก่ ปรากฎการณ์ผีพุ่งไต้หรืออุกกาบาต ดาวตก ดาวหาง สุริยคราส ท้องฟ้าอากาศวิปริตอย่างฉับพลัน อาเพทในลักษณะอย่างนี้อาจจะมีการเกิดการสิ้นชีวิตของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง