Thursday, March 12, 2015

การทำลายถาวรวัตถุของศาสนาอื่น อันเป็นมรดกวัฒนธรรมชาวโลก คือความใจแคบของผู้คลั่งศาสนาบางคน




 
เมื่อปลายปี 2006 ช่วงรัฐประหารในเมืองไทย (ปี 49) ผมได้มีโอกาสไปยืน ณ จุดเกิดเหตุ
ที่เมืองบามิยัน ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน
และที่แห่งนี้ เคยเป็นฐานอันสำคัญของศาสนาพุทธในอัฟกานิสถานเลยทีเดียว
โดยการทำลายเป็นฝีมือของพวกคลั่งศาสนา ในชื่อกลุ่ม ตาลีบัน

ได้เห็นซากปรักหักพังที่เคยเป็นส่วนประกอบของ the Big Buddha และทราบว่า
ทางยูเนสโก ได้มีความพยายามที่จะสร้างองค์พระขึ้นมาใหม่ โดยใช้วัสดุเดิมที่พอเหลืออยู่
ไม่ทราบว่าวันนี้จะสำเร็จหรือยัง ไม่น่าเชื่อว่า ผ่านไปนับเกือบเก้าปีแล้ว

พอดีเห็นข่าวจากบีบีซี กล่าวถึงเบื้องหลัง... เลยยกมาให้พี่น้องอ่าน เพื่อเป็นความรู้นะครับ

piangdin

เรื่องเล่าจากชายคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้ทำลายสมบัติของบ้านเกิด
(เครดิต BBC Thai)

เมื่อ 16 ปีก่อนตอนที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดเมืองบามิยันในอัฟกานิสถานได้สำเร็จ หลังจากสู้รบต่อเนื่องกันมาหลายเดือน ทั้งโลกต้องตกตะลึงเมื่อกลุ่มตาลีบันทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยันซึ่งเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าและเป็นพระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุดในโลก
เมียร์ซา ฮุสเซน หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกลุ่มตาลีบันจับตัวไว้เป็นนักโทษบอกว่า ตอนนั้นเขาอายุ 26 ปี กลุ่มตาลีบันจับตัวพวกผู้ชายไว้ได้ 25 คน ส่วนคนที่เหลือก็หนีตายไปที่อื่น กลุ่มนักโทษได้รับอาหารวันละน้อยนิด ไม่มีเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องกันหนาวใด ๆ และหากไม่ได้ดั่งใจจะถูกฆ่าทิ้งตอนไหนก็ได้ นั่นก็เพราะชาวเมืองบามิยันส่วนใหญ่เป็นมุสลิมชีอะห์ ซึ่งกลุ่มตาลีบันถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของชาวมุสลิมซุนนีย์
ถัดมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี 2544 ผู้บัญชาการกลุ่มตาลีบันเริ่มปฏิบัติการทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน โดยเริ่มจากการใช้รถถังกราดยิงใส่องค์พระพุทธรูป แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก กลุ่มตาลีบันจึงเริ่มวางแผนใช้ระเบิดแทน
ฮุสเซน เล่าว่า เหล่านักโทษต้องแบกวัตถุระเบิดทั้งหลายเข้าไปยังฐานพระพุทธรูปด้วยมือเปล่า ซึ่งหากผิดพลาดก็ตายได้ง่าย ๆ หรือไม่ก็ถูกกำจัดทิ้ง เขาจำได้ว่ามีนักโทษคนหนึ่งซึ่งขาเจ็บและแบกระเบิดไม่ไหว ผู้คุมก็เลยยิงทิ้งตรงนั้นแล้วบอกให้นักโทษอีกคนลากศพไปทิ้ง
ภารกิจฝังระเบิดนี้ใช้เวลาถึง 3 วันเต็ม ๆ สายไฟระโยงระยางถูกเชื่อมต่อกับตัวบังคับระเบิดซึ่งอยู่ที่มัสยิดที่ใกล้ที่สุด กลุ่มตาลีบันกดระเบิดขณะพร้อมใจกันโห่ร้องว่า “อัลลอฮุ อักบัรฺ” ซึ่งเป็นการกล่าวสรรเสริญว่าพระอัลเลาะห์เจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
แต่กลุ่มตาลีบันก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าแรงระเบิดนี้ทำลายได้แค่ขาข้างหนึ่งของพระพุทธรูปเท่านั้น
จากนั้นกลุ่มตาลีบันจึงนำวัตถุระเบิดมาเพิ่มอีก ฮุสเซนบอกว่าวัตถุที่ว่านี้ดูเผิน ๆ เหมือนสบู่ก้อนและมีลักษณะหยุ่น ๆ เหมือนแป้งนวด
แผนการระเบิดครั้งใหม่นี้ กลุ่มตาลีบันใช้วิธีระเบิดวันละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาทั้งหมด 25 วัน จนกระทั่งไม่เหลือซากของพระพุทธรูปอีกเลย หลังจากนั้นกลุ่มตาลีบันก็เฉลิมฉลองกับความสำเร็จในครั้งนี้ มีการเชือดวัวถึง 9 ตัวเพื่อเป็นการบวงสรวง
ชีวิตของเมียร์ซา ฮุสเซนในวันนี้ เขาเป็นช่างซ่อมจักรยานในเมืองบามิยันบ้านเกิด ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ความทรงจำอันเลวร้ายนี้ยังแจ่มชัดอยู่ในใจเสมอ เขาบอกว่า ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกจึงต้องจำใจทำ ซึ่งมันทำให้เขาเสียใจมาก ถึงตอนนี้ก็ยังเสียใจอยู่ และก็คงรู้สึกเสียใจแบบนี้ไปจนตาย
ฮุสเซนกล่าวทิ้งท้ายว่า เขาอยากให้รัฐบาลและชาวต่างชาติช่วยกันระดมทุนเพื่อสร้างพระพุทธรูปแห่งบามิยันขึ้นใหม่ แต่ดูเหมือนความหวังของฮุสเซนคงจะยังไม่เป็นจริงโดยเร็ว เพราะที่ผ่านมาก็มีการถกเถียงกันมาหลายปีแล้วว่าจะสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ หรือจะคงสภาพเดิมไว้แบบนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงความหลัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเสียที

===============

วันนี้ มีการสร้างใหม่ จนองค์พระเป็นรูปร่าง ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในอนาคตสักวันหนึ่ง เมื่ออัฟกานิสถานกลับสู่สันติสุขอีกครั้ง แต่เมื่อใดล่ะ?






รายงานจากยูเนสโก 2011


รายงานจากนาโต 2011

No comments:

Post a Comment