Saturday, December 5, 2015

เตียง ศิริขันธ์ : วีรบุรุษที่ประวัติศาสตร์ไทย(แกล้ง)ลืม


จึงเป็นคำถามที่คำตอบอาจอยู่แต่ในสายลม-ถึงที่สุดแล้ว ประชาชนเป็นใหญ่จริงหรือ กับระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเรา ย้อนหลังจากวันนี้ไป 101 ปี ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2452 วีรบุคคลผู้ที่เหมือนว่าหน่วยงานเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยไม่อยาก จะจดจำจารึกไว้ให้เยาวชนเรียนรู้ ถือกำเนิดเกิดขึ้นบนแผ่นดินอีสาน บุคคลผู้นั้นชื่อ "เตียง ศิริขันธ์"

ด้วยชีวิตวัยเยาว์ในบ้านเกิดจังหวัดสกลนคร เตียง ศิริขันธ์ได้รับการส่งเสริมจากบุพการีให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนสร้างความ เจริญก้าวหน้าให้กับตนเอง จนสามารถเรียนจบประกาศนียบัตรสูงสุดสำหรับครู หรือครู ป.ม.จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในเวลาต่อมาได้เข้าทำงานเป็นครูสมดังปรารถนา


แต่แล้วเพราะความคิดก้าวหน้า กล้าพูด กล้าทำ กล้ายืนหยัดต่อกับกรกับสิ่งอยุติธรรมทั้งหลาย ในที่สุดก็ถูกข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ร่วมกับเพื่อนครูอีก 2 คน เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งมีมือมืดเอาธงแดงมีตราค้อนเคียวชักขึ้นบนยอดเสาแทน ธงชาติ ซึ่งในยุคนั้นมิใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีนักคิด-เขียนหัวก้าวหน้าโดนข้อหา นี้ ประชาชนคนไหนที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ชอบขี้หน้าอาจถูกยัดข้อหานี้เอา ง่ายๆ ถือเป็นข้อหาคลาสสิกเอาเลยทีเดียว

และนี่เองถือเป็นจุดหักเหของชีวิตครู หนุ่มไฟแรงแห่งแผ่นดินอีสานให้หันหน้าเข้าสู่แวดวงการเมือง เพราะถึงแม้ว่าศาลจะพิจารณาและพิพากษายกฟ้องแล้วก็ตาม แต่การที่ต้องถูกกล่าวหาและพัวพันกับคดีอยู่เป็นเวลายาวนาน ทำให้นายเตียงตัดสินใจเปลี่ยนเข็มชีวิตตนเข้าสู่สังเวียนรัฐสภา

ปี 2476 เดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรก เป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม ส่วนการเลือกตั้งโดยทางตรงของไทยครั้งแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 นายเตียงได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งในจังหวัดสกลนคร และก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดสกลนครเรื่อยมา


ด้วยความเป็นผู้แทนราษฎรหนุ่มไฟแรง มีอุดมการณ์แก่กล้า กอปรกับมีเพื่อน ส.ส.จากที่ราบสูงเหมือนกัน ร่วมทำงานเป็นทีมเวิร์ค คือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี, นายจำลอง ดาวเรือง ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม และนายถวิล อุดล ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด จนได้รับสมญานาม 4 ส.ส.อีสาน ดังที่กวีซีไรต์เลือดอีสาน ไพวรินทร์ ขาวงาม ได้ประพันธ์ไว้ว่า...

ดาวหนึ่งทองอินทร์นั้น เลือดอุบล
ดาวหนึ่งเตียงเลือดสกล เลือดสู้
ดาวหนึ่งถวิลเลือดคน ร้อยเอ็ด
ดาวหนึ่งจำลองกู้ เลือดสารคาม 
(จากหนังสือ เตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร โดย ผศ.ปรีชา ธรรมวินทร หน้า 142)

เห็นได้จากการอภิปรายในสภาปี 2487 ต่อต้านโครงการนครหลวงเพ็ชรบูรณ์และพุทธบุรีมณฑลสระบุรีของรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เนื่องจาก ส.ส.อีสานทั้งสี่เห็นว่าโครงการดังกล่าวสร้างความทุกข์ยากลำบากให้กับ ประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะโครงการย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพราะเมืองเพชรบูรณ์ สมัยนั้นเป็นป่าทึบ เต็มไปด้วยเชื้อไข้มาลาเรีย ปรากฏว่าพอสร้างไปได้ 1 ปี มีประชาชนถูกเกณฑ์ไปทำงานกว่า 100,000 คน ป่วย 14,316 คน และเสียชีวิต 4,040 คน ประชาชนที่ถูกเกณฑ์โดยได้รับสัญญาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้วันละ 5 สตางค์ต่อวัน ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ภาคอีสาน

พอพระราชกำหนดนี้เข้าสู่สภา ปรากฏว่า ส.ส.ทั้งสี่ได้ร่วมกันอภิปรายคัดค้านอย่างหนัก และเมื่อลงเสียงคะแนนแบบลับ เพราะส.ส.ทั้งสี่เห็นว่าหากให้ยกมือลงคะแนนอย่างเปิดเผย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอาจเกิดการกดดันเกรงใจไม่กล้ายกมือสนับสนุน ในที่สุดรัฐบาลก็แพ้ไปด้วยคะแนน 48 ต่อ 36 เสียง เป็นผลให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องลาออก


แต่ก็นั่นแหละ การเมืองมีขึ้นมีลงตามกฎอนิจจลักษณะ หลังจากรัฐนาวาเผด็จการทหารของจอมพล ป.พิบูลสงคราม อับปางลงในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนอับปางรัฐบาลจอมพล. คนนี้ ได้นำพาประเทศเข้าร่วมจมหัวจมท้ายกับญี่ปุ่นจนหวุดหวิดเกือบต้องกลายเป็น ประเทศพ่ายแพ้สงครามไปด้วย ยังดีที่ ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งสมัยนั้นได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ใช้ปัญญาอย่าง แยบคายกอบกู้คืนมาได้ โดยจัดตั้งองค์กรลับภายใต้ชื่อ "ขบวนการเสรีไทย" (Free Siamese Movement) และช่วงนี้นี่เองที่นายเตียง ศิริขันธ์ หรือที่ใช้ชื่อรหัสว่า "พลูโต" มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อขบวนการเสรีไทยสายอีสาน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนคร เนื่องจากได้เป็นแกนนำจัดตั้งค่ายเสรีไทยเพื่อฝึกฝนกำลังพล มีประชาชนเข้าร่วมปฏิบัติการกู้ชาติครั้งนี้นับหมื่นคนจากทั่วทุกค่ายในเขต จังหวัดภาคอีสาน

ทั้งๆ ที่งานเสรีไทย เป็นงานอุดมการณ์ทำเพื่อชาติ อาจต้องยอมพลีแม้กระทั่งชีพตนเอง ไม่มีผลตอบแทนอันใด จะมีก็แต่ความภาคภูมิใจในการได้ทำงานเพื่อพิทักษ์มาตุภูมิ แต่ประชาชนทั้งชาวจังหวัดสกลนครและจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานก็พร้อมใจกันเข้าร่วม เนื่องจากทุกคนมีใจรักชาติ และส่วนหนึ่งเกิดจากศรัทธาต่อนายเตียง ศิริขันธ์ผู้เป็นบุคคลต้นแบบเรื่องความเสียประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประเทศ ชาติ ดังที่คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร (ภรรยาของจำกัด พลางกูร ผู้เดินทางไปประเทศจีนเพื่องานเสรีไทยและเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...


"...ตอนนั้นคุณเตียงให้คุณนิวาศน์ ถอดเครื่องประดับทั้งหมด มีสายสร้อย ล็อกเกต แหวน รวมทั้งแหวนของตัวเองด้วย มอบให้จำกัดเผื่อว่าจะไปตกทุกข์ได้ยาก เพราะการเดินทางนั้นมืดมนเต็มที ญี่ปุ่นอยู่เต็มไปหมด ดิฉันเชื่อว่าถ้าคุณเตียงรู้ตัวก่อนนั้น คงจะรวบรวมเงินทองให้จำกัดอีกเป็นแน่ และของเหล่านี้ (จำกัดเขียนไว้ในสมุดบันทึก) ว่าได้ช่วยเขาอย่างมากจริงๆ..." (จาก คำเกริ่นนำโดย ฉลบชลัยย์ พลางกูร ในหนังสือ เตียง ศิริขันธ์วีรชนนักประชาธิปไตย ขุนพลภูพาน โดย ศ.วิสุทธ์ บุษยกุล หน้า 17)


พลพรรคเสรีไทยภาคอีสานจากค่ายต่างๆ ฝึกฝนพัฒนาตนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทธปัจจัยจากประเทศสัมพันธมิตร แม้ว่าสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นกลับประเทศฝ่ายอักษะ จะประกาศยอมแพ้สงครามเสียก่อนที่กองทัพเสรีไทยได้สำแดงพลังต่อสู้ให้ ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก แต่ถึงกระนั้น ด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน มีหลักฐานทั้งด้านเอกสารและกำลังพลเพียบพร้อม สามารถอ้างเป็นหลักฐานให้ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรเชื่อว่าประเทศไทย ไม่ใช่พวกเดียวกับญี่ปุ่น ดังคำสุนทรพจน์ของ "รูธ" ที่ได้กล่าวในพิธีสวนสนามกองทัพเสรีไทยท่อนหนึ่งว่า

"...เสรีไทยมิใช่ผู้ที่อยู่ใต้ครอบ ครองของญี่ปุ่น ความหมายก็คือไทยที่เป็นเสรีไทยทั้งหลายที่ต้องการให้ประเทศของตนเป็นอิสระ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ต่างประเทศรับรองการกระทำของผู้ที่อยู่ในต่างประเทศ หาใช่คณะหรือพรรคการเมืองไม่ ส่วนองค์การต่อต้านภายในประเทศนั้น ในชั้นเดิมไม่มีชื่อเรียกองค์การว่าอย่างไร การชักชวนให้เริ่มงานตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2488 เป็นต้นมา ก็ชักชวนต่อต้านญี่ปุ่นให้พ้นประเทศ และเมื่อองค์การภายในและภายนอกประเทศติดต่อกันแล้วในชั้นหลัง สาส์นที่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศได้มีมายังข้าพเจ้า เรียกขานองค์การที่เราร่วมงานระหว่างคนทั้งภายในและภายนอกนี้ว่า Free Siamese Movement หรือขบวนการเสรีไทย เป็นนามสมญาที่ควรยอมรับ ข้าพเจ้าก็ได้ถือเอานามนี้โต้ตอบกับต่างประเทศโดยใช้นามองค์การว่า องค์การขบวนเสรีไทย...." (จากหนังสือเตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร โดย ผ.ศ.ปรีชา ธรรมวินทร หน้า 132)


หลังจากอุทิศชีวิตเป็นแกนนำจัดตั้ง เสรีไทยสายอีสาน ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงจากท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่ง นายเตียง ศิริขันธ์ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ร่วมกันนำพาประเทศผ่านพ้นมรสุมครั้งใหญ่มาได้ พบกับช่วงวันฟ้าใสในหน้าที่การงาน บำเพ็ญประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ได้เป็นรัฐมนตรีหลายสมัย ตั้งแต่รัฐบาลทวี บุณยเกตุ รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช รัฐบาลปรีดี พนมยงค์ 1, 2, 3 และรัฐบาลถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ 1, 2, 3, 4 มีผลงานเด่นๆ มากมาย เป็นต้นว่าได้ก่อตั้ง "สันนิบาตแห่งเอเชียอาคเนย์" (Union of Southeast Asian) ซึ่งก็คือที่มาขององค์การ "อาเซียน" ในปัจจุบัน


แต่สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้อง ชะงักงันเมื่อกลุ่มอำนาจนิยม-อนุรักษนิยมทำการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤษภาคม 2480 คณะกลุ่มโจรปล้นประเทศพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดขั้วอำนาจเก่าสายท่าน ปรีดี พนมยงค์ โดยเอา "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8" เป็นข้ออ้างมาบ่อนทำลาย สร้างความชอบธรรมในการล้มล้างศัตรูทางการเมือง เข้ากุมอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นผลให้ท่านปรีดีต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ 4 ส.ส.อีสานถูกโจรในเครื่องแบบวิสามัญฆาตกรรมทางเมืองอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ที่ทุ่งบางเขน นาย เตียง ศิริขันธ์ต้องหลบหนีเข้าป่าภูพาน และถูกยัดเยียดข้อหา "กบฏแบ่งแยกดินแดน" ในที่สุด และนายเตียงได้ฉายา "ขุนพลภูพาน" ก็จากการต่อสู้กับอำนาจรัฐครั้งนี้

อ่านฉบับสมบูรณ์ต่อที่ http://darkage-marcus.blogspot.com/2011/12/blog-post_1059.html

Laly Jil - ตามมาดูรายได้ของนายพลไทย

Laly Jil - ตามมาดูรายได้ของนายพลไทย

เงินเดือนของทหารขั้นสูงสุดคือ 76,604 บาทต่อเดือน
และเงินประจำตำแหน่งสูงสุด คือ 21,000 บาท

นั่นคือทหารที่ได้รับเงินตอบแทนต่อเดือนสูงสุดในยศ พลเอก อัตราจอมพล ก็คือ ได้รับ 97,604 บาท (เก้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยสี่บาท) ต่อเดือน ถ้าไม่กินไม่ใช้เลย ก็คือปีหนึ่ง จะได้รับค่าจ้าง 1,171,248 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน)

ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็คือ ปีละประมาณ ล้านสอง การที่ทหารคนหนึ่งจะได้เงินเดือนและเก็บเงินได้ครบสามสิบล้านบาท ก็คือใช้เวลาเป็นพลเอกอัตราจอมพล เป็นเวลา ประมาณสามสิบปี

ซึ่งไม่มีทางที่จะมีทหารคนไหนจะทำแบบนี้ได้เพราะกว่าจะขึ้นมาขนาดนี้ได้ก็ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามสิบห้าปีที่มีเงินเดือนน้อยกว่านี้

http://goo.gl/5j6OzR

Cherry Caviara's photo.

Friday, December 4, 2015

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา

"พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา"องคมนตรี ถึงแก่อสัญกรรม


updated: 05 ธ.ค. 2558 เวลา 11:00:55 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา ด้วยวัย 96ปี เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น.เช้าวันนี้ โดยกำหนดตั้งศพสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศล ที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กทม. ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นไป และมีพิธีรดน้ำศพในวันที่ 7 ธันวาคม เช่นกัน

สำหรับ พล.ต.อ.สิทธิ เศวตศิลา เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2462  ปัจจุบันเป็นองคมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีต เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Thursday, December 3, 2015

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย
เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์

 ตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีแถลงการณ์ ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558, 19 พฤศจิกายน 2558 และ 24 พฤศจิกายน 2558  เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงรายละเอียดและมาตรการดำเนินการต่างๆ กรณีมีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับรู้และสนับสนุนโครงการอุทยานฯ มาตั้งแต่ต้น แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบ ด้วยความโปร่งใส ไม่เห็นแก่ผู้ใดนั้น ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโครงการอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ได้ปฏิเสธและยืนยันต่อสาธารณะมาโดยตลอดว่า โครงการอุทยานฯ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการและดำเนินการโดยโปร่งใส 
 ณ บัดนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงสู่สาธารณะเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม พรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณี นายชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท  โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด  
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้าง มีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดีและพลตรีสุชาติ          พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ  อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดชมาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบกและครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดชกำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี 
สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมายนอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ 
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา  จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น  

พรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1) พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติและพันเอกคชาชาติถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดชจึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่  พลเอกอุดมเดชในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ  พลเอกอุดมเดชไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ              รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบก ที่มีต่อสถาบัน อย่างหาที่สุดมิได้ ให้จนได้
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้างถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.  สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่า จะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต
นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น

3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. , ส.ต.ง. , ส.ต.ช. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ , ป.ป.ง. ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า


            พรรคเพื่อไทย
                  27 พฤศจิกายน 2558

ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

เชิญร่วมขบวนรถไฟไปกับน้องๆนักศึกษา ทัศนาจร ชมอุทยานราชภักดิ์อันลือลั่น พร้อมกับ 7 โมงเช้า สถานีรถไฟธนบุรี บางกอกน้อย ค่ะ 



"วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์"เล่าเบื้องหลังไทยสอบตกมาตรฐาน"ไอซีเอโอ"

"วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์"เล่าเบื้องหลังไทยสอบตกมาตรฐาน"ไอซีเอโอ"

วันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 08:45:25 น.

 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1427936109





ปัญหาการตรวจสอบมาตรฐานกรมการบินพลเรือน ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ "ไอซีเอโอ" ของประเทศไทยนั้น เริ่มส่งผลกระทบวงกว้างมากขึ้น โดยเบื้องต้นนั้นมีการควบคุมเที่ยวบินจากไทยไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กระทั่งล่าสุด มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า จีนได้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ห้ามสายการบินไทย ประเภทเช่าเหมาลำ เพิ่มเที่ยวบินใหม่ไปยังจีน ขณะที่อีกหลายประเทศที่รับทราบเอกสารข้อมูลจากไอซีเอโอ ก็เริ่มตั้งข้อสังเกตต่อมาตรฐานการบินของกรมการบินพลเรือนของไทยด้วยเช่นกัน

ถ้าพฤติกรรมของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์คือทุจริต อีกสองมูลนิธิที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีพฤติกรรมปล้นประชาชน

ถ้าพฤติกรรมของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์คือทุจริต อีกสองมูลนิธิที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีพฤติกรรมปล้นประชาชน

มูลนิธิชัยพัฒนาก่อตั้งเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2531 โดยมีภูมิพลดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ สิรินธรดำรงตำแหน่งประธานบริหารมูลนิธิและนายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ มูลนิธิชัยพัฒนาเป็นที่มาของ "โครงการอันสืบเนื่องมาจาก "พระราช ดำริ" ที่มีโครงการมากกว่าสี่พันโครงการ (โครงการปล้นกลางแดด) แต่ละโครงการมีพ่อค้า นักธุรกิจ คหบดีตลอดจนหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆทุกภาคส่วนเปิดรับบริ จาค เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยที่ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยกลายเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ทุกโครงการจะได้รับยกเว้นการเสียภาษีและไม่มีใครตรวจสอบได้ ( โครงการที่คิดขึ้นมามากมายด้วยจุดประสงค์ในการหาปล้นเงินประชาชนให้ กษัตริย์)

ส่วนมูลนิธิรัฐบุรุษ มีเปรมเป็นประธาน ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2526 จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2535 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 6 รอบ มีบุคคลหลายวงการได้มอบเงินให้พล.อ.เปรม เพื่อตั้งกองทุนสำหรับเป็นรางวัลผู้กระทำความดี ซื่อสัตย์สุจริต และจงรักภักดีต่อแผ่นดิน พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น"มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" มูลนิธิแห่งนี้ก็ไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องหรือตรวจสอบรายได้จากการบริจาคเช่น เดียวกับมูลนิธิชัยพัฒนา ต่างกันที่คนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่รายหลังมีรายได้มหาศาล จนสามารถสร้างความอื้อฉาวในการเลี้ยงเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาไว้สำหรับปรน เปรอ โดยเฉพาะหนุ่มนักร้องที่มีข่าวว่าจุนเจือไปนับพันล้านบาท นี่ล้วนแล้วแต่ผลงานความสัตย์ซื่อที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันจอม ปลอมที่ไร้ยางอายของ "เปรม ทดแทนบุญคุณแผ่นดิน"

ถ้าหากมีการกล่าวหาว่าโครงการของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มีการทุจริต โกงกินเงินส่วนต่างของการก่อสร้างแต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีสิ่งปลูกสร้าง ให้ได้เห็นอยู่บ้าง และก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติของประชาชน เพียงแต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีราคาแพงเกินจริง ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยกับมูลนิธิชัยพัฒนาของภูมิพลและมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะมูลนิธิปล้นประชาชนทั้งสองนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเหลือให้ประชาชนได้เห็น นอกจากประธานมูลนิธิหนึ่งได้ชื่อว่า "เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก" และประธานอีกมูลนิธิหนึ่ง ได้ชื่อว่าร่ำรวยล้นฟ้ามีเงินปรนเปรอชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ฟุ่มเฟือย ที่สุดในโลก.....พี่น้อง คนไทยที่รัก ผมว่าความผิดของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มีความเลวอยู่บ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นระยำเท่ากับมูลนิธิปล้นประชาชนทั้งสองอย่างแน่นอนครับ(โปรด ติดตามการทุจริตโกงกินที่ทำร้ายจิตใจคนไทยที่สุดในตอนต่อไป)

สมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย แจ้งจับทูต US กรณีวิจารณ์ ม.112 ด้าน นปช. ยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลหยุดคุกคามและยุยงปลุกปั่นประชาชน

สมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย แจ้งจับทูต US กรณีวิจารณ์ ม.112 ด้าน นปช. ยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลหยุดคุกคามและยุยงปลุกปั่นประชาชน

ที่กองบังคับการปราบปราม นายสนธิยา สวัสดี ตัวแทนสมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษนายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย กรณีแสดงความเห็นวิจารณ์กฎหมายอาญามาตรา 112

หนังสือดังกล่าวมุ่งหมายให้พนักงานสอบสวนถอดเทปถ้อยแถลงดังกล่าว พร้อมตรวจสอบความบริสุทธิ์ใจของผู้จัดการ โดยหากมูลความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายอาญามาตรา 112 ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีต่อไป
 
ก่อนหน้านี้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯได้แสดงความกังวลต่อบัญญัติดังกล่าว พร้อมยืนยัน การแสดงความคิดเห็นอย่างสันติไม่ควรถูกจำคุก ต่อมาประชาชนจำนวนหนึ่งนำโดยพระพุทธอิสระ เข้ายื่นหนังสือคัดค้านท่าทีดังกล่าว

อีกด้านหนึ่งแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลยุติคุกคามแกนนำ นปช. และประชาชนทั่วไป ยืนยันการกระทำดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม ขัดรัฐธรรมนูญ เรียกร้องขอผ่อนคลายท่าที
 
ขณะที่พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมุ่งมั่นสร้างความสงบเรียบร้อย และเสถียรภาพ และให้สิทธิเสรีภาพต่อประชาชนอย่างเสมอภาค หากไม่กระทบต่อส่วนร่วม

นอกจากนี้รัฐบาลไม่สามารถให้คนบางกลุ่มมีอิสระที่จะสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วน ปลุกระดม อันจะเกิดความไม่สงบในประเทศได้ พร้อมเรียกร้องนปช. คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

บิ๊กตู่ ลั่น บิ๊กโด่ง เป็นน้องชายโตมาด้วยกัน ถ้าผิดก็ยอมรับ

บิ๊กตู่ ลั่น บิ๊กโด่ง เป็นน้องชายโตมาด้วยกัน ถ้าผิดก็ยอมรับ บอก ผมไม่ใช่ศาลเป็นแค่คนนำเข้ากระบวนการ ย้ำ รอผลสอบให้ชัดเจน เชื่อ 2 คนที่หนีโกง ยัน ไม่ปรับครม.ตามกระแส

[?]19 ชีวิต บริสุทธิ์ พนักงานกรุงไทย ที่ต้องถูกจำคุก ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกว่า 10 ปี!!

󾕎19 ชีวิต บริสุทธิ์
พนักงานกรุงไทย
ที่ต้องถูกจำคุก
ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกว่า 10 ปี!!


󾕎อ่านความจริงที่คนทั้งประเทศต้องรู้!!!

󾮜🏻󾮜🏻󾮜🏻
ในสมัยปี 2540 ประเทศไทยพบกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ธนาคารและภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จำนวนมากต้องปิดตัวลง

ธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นธนาคารของรัฐจึงออกโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบที่เรียกว่า "อัศวินม้าขาว" (https://www.youtube.com/watch?v=hcrOxa-6HFg) เพ่ือรับช่วงต่อหนี้จากกลุ่มการเงินที่ขาดสภาพคล่องเพื่อพยุงให้ดำเนินการต่อไปได้

หนึ่งในหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยเข้าไปช่วยเหลือคือ หนี้ของธนาคารกรุงเทพ ปล่อยกู้ให้กลุ่ม กฤษดามหานคร

กลุ่มกฤษดามหานคร เป็นกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติต้มยำกุ้ง กระทั่ง ปี 2546 มีหนี้ที่กู้ธนาคารกรุงเทพสะสมอยู่ถึง 9,900 ล้านบาท

ปลายปี 2546 ธนาคารกรุงเทพประสบวิกฤติขาดเงินทุนเช่นกัน จึงคิดจะให้กลุ่มกฤษดามหานครรีไฟแนนซ์โอนถ่ายหนี้ไปให้ธนาคารกรุงไทยแทน

ฝ่ายธนาคารกรุงไทยพิจารณาแล้วว่า หลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นที่ดินบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ที่กลุ่มกฤษดามหานครมี มีมูลค่าเพียงพอที่จะค้ำประกันหลักทรัพย์ได้ ประกอบกับกลุ่มกฤษดามหานครไม่เคยผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารกรุงเทพเลยนับเป็นลูกหนี้ชั้นดี ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยจึงพิจารณาให้รีไฟแนนซ์ให้กลุ่มกฤษดามหานครโดยให้เงินกู้ 8,000 ล้านบาท

ซึ่งธนาคารกรุงเทพยอมลดหนี้ให้จำนวนหนึ่ง ทำให้กลุ่มกฤษดามหานครมีเงินเหลือพอที่จะนำไปหมุนทำธุรกิจต่อไปด้วย

ในขณะนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ตรวจสอบดูแลการทำงานของธนาคารเป็นปกติวิสัย หม่อมอุ๋ย ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นก็เข้ามาตรวจสอบการปล่อยกู้ครั้งนี้ และได้ทำรายงานการตรวจสอบไว้ โดยไม่ได้มีการตั้งข้อกล่าวหา หรือแสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติแต่อย่างใด การรีไฟแนนซ์ครั้งนี้ดูจะเป็นไปอย่างปรกติ แต่ทว่า...

ภายหลังการรัฐประหารปี 2549 คณะรัฐประหารได้ตั้ง องค์กร คตส.ขึ้นมา เพื่อตรวจสอบการเงินที่เกี่ยวกับ อดีตนายกฯทักษิณ และนำเอกสารการเงินของกลุ่มกฤษดามหานครมาตรวจสอบอีกครั้ง

คตส. พบว่ามีการออกเช็คจำนวน 26 ล้านบาท เพื่อขอซื้อหุ้นในธุรกิจที่สามารถโยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณได้ แม้จะเป็นเงินไม่ถึง1%ของวงเงินกู้ทั้งหมด และต้องอาศัยความเชื่อมโยงหลายชั้นถึงจะโยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณได้แต่ คตส. ก็เรียกคดีนี้ขึ้นมาสอบใหม่ โดยมีการตั้งข้อสงสัยเพิ่มว่า การปล่อยกู้นี้อาจอนุมัติเพราะได้รับคำสั่งมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และเมื่อ คตส. หมดวาระไปก็ได้ส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช. 

ป.ป.ช. ได้นำสำนวนของ คตส. ไปส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมีผู้บริหารกฤษฎามหานคร6คน ประธานกรรมการของกรุงไทย5คน เจ้าหน้าที่สินเชื่อของกรุงไทย10คน และ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นจำเลย

แต่ต่อมา กรรมการ 2 ใน 5 คน ได้พ้นจากสภาพจำเลย เพราะได้ให้การว่ามี "บิ๊กบอส" เป็นผู้สั่งการให้มีการปล่อยกู้ และปัจจุบันกรรมการ 2 คนที่ให้การปรักปรำนั้น ก็ได้มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทหารของ คสช.

ในขณะที่ผู้บริหารอื่นๆของกรุงไทย ยืนยันว่าเป็นการปล่อยกู้โดยสุจริต เพราะหลักทรัพย์ที่นำมาคำประกันนั้นมีมูลค่าสูงพอจะรับประกันหนี้ และในปัจจุบัน หนี้ของกลุ่มกฤษดานครก็ไม่ได้ก่อความเสียหายใดๆ ต่อธนาคารกรุงไทย..

Wednesday, December 2, 2015

เผด็จการทหารพระราชาไทย กำลังช่วยจีนข่มขืนประเทศไทย

จเด็ด สิบเอ็ดทิศ.         #จีนมันกำลังขี่คอเราเรื่องรถไฟ ..ไอ้รัฐมนตรีก็แกล้งโง่ตาใส จ้องจะเซ็นสัญญาท่าเดียว ไอ่สลัดผักเอ๊ย .. ดอกเบี้ย 2-4 พ่อมึงตาย แม่ยายมึงสิ้น ก็ยังจะยอมเค้า .. (หากกู้ JICA ญี่ปุ่น เค้าคิด 1.5 เท่านั้น แต่กู้ไม่ได้ เพราะเป็นรัฐบาลทหาร ชาวโลกเค้ารังเกียจ)

เท่านั้นยังไม่พอ..ฝ่ายจีน ยังขอออกแบบเอง และให้บริษัทจากจีนสร้างเอง และยังขอทำการเดินรถเองอีกด้วย ..ไปๆมาๆ งบต้นทุนบานปลาย งอกออกมาอีกแสนกว่าล้าน  >.< ก็ยังจะยอมมัน ..ไอ้เหี้ยเอ๊ย..!!ได้ส่วนต่างเท่าไรวะ ??

สุดท้ายพอโดนหลายๆฝ่ายท้วงติง รมต.สมคิด จาตุฯ เลยให้ฝ่ายจีนไปปรับปรุงใหม่ในหลายๆรายละเอียด ..ส่วนไอ้รมต.คมนาคมตัวปัจจุบัน(ไอ่ตัวนี้มันเป็นร่างทรงของคสช. โง่ตาใส เค้าหลอกให้มานั่งเก้าอี้นี้ เพราะเค้าจะบุฟเฟต์กันในหมู่พี่น้อง แล้วให้มึงนั่นแหล่ะในฐานะ รมต.รับตีนไปในวันหน้า ก็ยังไม่รู้ตัว วันหน้า รัฐบาลประชาชนเป็นใหญ่ จะถลกหนังแม่ง!!แล้วยึดทรัพย์ให้หมดโคตรเลย  )ร้องจะเซ็นต์ จะวางศิลาฤกษ์ท่าเดียว ..อยากถีบหน้าแม่ง!!จริงๆ!! 

จากนั้น ฝ่ายจีนก็เงียบไปพักนึง กลับมาคราวนี้ เหี้ยหนักกว่าเก่า เริ่มออกลายได้ทีขี่หลังเสือ เสือบูรพาพยัคฆ์ซะด้วย ..เสนอหน้าตาเฉยเลยว่า จีนขอเปลี่ยนบริษัทซื้อยางพารา และขอไม่ซื้อยางเก่า จะซื้อแต่ยางใหม่เท่านั้น 

..เอ้า!!ไอ้เก๊าเจ้ง..ก็ในสัญญาความร่วมมือเรื่องสัมปทานรถไฟร่วม ไทย-จีน มึงบอกฝ่ายจีนจะรับซื้อยางไทยทั้งหมดด้วยไง๊ ..วันนี้เสือกมาบิดพริ้วหน้าตาเฉย จีนมึงค้าขายกับชาวบ้านแบบนี้ไง ลาว เวียดนาม เขมร ถึงไม่เอารถไฟของมึง รวมทั้งพม่าด้วย เค้ายกเลิกกันเป็นแถว มีไอ้ฟายไทยชาติเดียวนี่แหล่ะ ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย .. ..>.<

ดีนะที่ รมต.สมคิด หัวเรือใหญ่โปรเจคนี้ ยังมีความดีอยู่บ้าง สั่งทุกหน่วยระงับการเซ็นต์สัญญาไว้ก่อน ให้เลื่อนออกไปก่อน เพราะจีนผิดข้อเงื่อนไขหลายอย่าง ทั้งเรื่องรถไฟ สัญญาที่1 เรื่องยางพารา สัญญาที่2 และ เรื่องเงินกู้ สัญญาที่3 .. 
 
ส่วนโครงการความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น หลังจากที่ลงนามในบันทึกความร่วมมือพัฒนารถไฟไทย-ญี่ปุ่น เพื่อเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกตอนล่าง เส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง-สระแก้ว ที่ประเทศญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ 2 ฝ่ายจะร่วมกันปรับปรุงราง ตั้งบริษัทร่วมทุนเดินรถ(ตั้งบริษัทเสร็จภายในเดือน มค.59นี่แหล่ะ) ร่วมกันและเริ่มทดสอบการเดินรถ และจะพัฒนาก่อสร้างเป็นทางคู่ในอนาคต
ญี่ปุ่นเค้าตรงไปตรงมา ออกแนวเอื้อเฟื้อ อลุ่มอล่วยให้เราหลายเรื่อง ไม่มีปัญหาอะไรกับเราเลย มืออาชีพมากๆในทุกๆเรื่อง บอกตามตรงว่า คนไทยอย่างกูอ่านรายละเอียดแล้วรู้สึกเกรงใจญี่ปุ่นจริงๆ 

ส่วนไอ้เก๊าเจ้งอีกสายนึงเนี่ย ..แม่ง!!คบไม่ได้จริงๆ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ใช้นิสัยจังไร ใช้นโยบายเอาเปรียบขูดรีดคนอื่นแบบนี้ จีทูจีพ่อมึงดิ จีนมีแต่ได้ฝ่ายเดียว !!ฝ่ายไทยเสียเปรียบตลอด  

ชาติหน้าตอนสายๆมึงก็ไม่มีวันมีอำนาจเหนือคาบสมุทรอินโดจีนแน่นอน เพราะชาติแถบนี้เค้ารู้สันดานมึงเป็นยังไง แค่คบได้ผิวเผิน แต่จริงจังและลงลึกด้วยไม่ได้ เพราะมึงจ้องจะขี่คอเพื่อนตลอดเวลา ..ไอ้เพื่อนเลว..

ท่านทูตจีนคนใหม่ ฯพณฯ หนิง ฟู่ขุย อ่านภาษาไทยได้นี่ครับ เชิญอ่านด้วยนะครับ เพราะผมกำลังต่อว่าประเทศจีนและรัฐบาลจีนของท่านครับ  :)

หมายเหตุ : คสช.ผู้ใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง ท่านอย่าดูเบาไปนะครับ รบกวนท่านแหกตาดูเรื่อง #การขาดดุลการค้าต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะ กับ ไอ้เก๊าเจ้งนี่ ..มันหนักขึ้นทุกวันแล้วนะครับ แซงหน้าคู่ค้าอันดับหนึ่งของเราอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯไปแล้ว  เห็นมั้ยครับว่า การที่ถูกยุโรปแบนการค้าหลายอย่าง มันเป็นเช่นไร ส่งผลกระทบอย่างไร ?? เห็นนายพลหลายท่านบอกว่า อียูแบนเรา สหรัฐฯแบนเรา ก็ช่างแม่ง!! ..

ถามจริงๆท่านนายพลทุกท่าน เข้าใจเรื่องพวกนี้มั้ยวะท่าน ??

หลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ กปปส. ไม่เข้าใจ

Tuesday, December 1, 2015

New York Times รายงานพิเศษเศรษฐกิจไทยจมปลัก “อย่าหลงดีใจ"

New York Times รายงานพิเศษเศรษฐกิจไทยจมปลัก
“อย่าหลงดีใจ"

ว่านักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยกันมากไทยยังจมอยู่ในปลัก”เดอะนิวยอร์คไทม์ รายงานถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ว่า“กำลังใกล้จะตายและรายได้ในครัวเรือนก็ ตกต่ำติดลบหนักที่สุดในเอเซีย”“อาชญากรรมเพิ่มขึ้น๖๐เปอร์เซ็นต์”“ไม่มีใคร อยากยิ้มอีกแล้วละ”พ่อค้าผลไม้ในตลาดหลังวัดอรุณฯตอบนักข่าวต่าง ประเทศ“ชีวิตทุกวันนี้เครียดมากไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนทำอะไรก็ไม่ได้ทำ อะไรให้ดีขึ้น”“ไทยเคยนำหน้าเพื่อนบ้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งเสรีภาพ และความรุ่งเรือง”“แต่ทุกวันนี้ประเทศไทย มองดูเพื่อนบ้านด้วยความอิจฉาไม่อาจดูถูกเขาได้อีก”“สัญญานของประชาธิปไตย เบ่งบานในพม่าชัยชนะต่อทหารของอองซานซูจีที่กดขี่เธอมาหลายสิบปี
ส่วนเศรษฐกิจของลาวกัมพูชาและเวียตนามก็แข็งแกร่งดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ ไปจากไทย”“ไทยถอยหลังเข้าคลองแต่พวกเขาก้าวไปข้างหน้า”ความเห็นของคนขาย ก๋วยเตี๋ยวรถเข็น“วีระธีรพัฒน์นักจัดรายการวิทยุที่ได้รับความนิยมสูงคน หนึ่งบ่นว่าทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตไม่หดหู่จนเกินไปต้องไปเสียจากประเทศนี้ ไปเที่ยวต่างประเทศสักพักผมไม่รู้ว่าจะทนไปได้นานแค่ไหนสงสัยต้องย้ายหนี เร็วๆนี้”แม้ว่าในด้านคนรวยจะไม่แห้งเหี่ยวไปทั้งหมดตามคอมมูนิตี้มอลล์และ ห้างหรูยังมีคนไปเดินเที่ยวซื้อหาและรับประทานอาหารกันแน่นแต่ฉายาไทยเคย เป็นเศรษฐกิจ‘เท็ปลอน’(ลื่นไปได้)คงเรียกอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้วแผงร้านค้า ปิดกันระนาวแม้แต่นายสมคิดจาตุรศรีพิทักษ์รัฐมนตรีคสช.กูรูเศรษฐกิจคนใหม่ก็ ยังเคยพูดไว้ในปาฐกถาแห่งหนึ่งว่า“ประชาชนรู้สึกเศร้าหมองเก็บกดเขาเปรียบ เปรยว่า"ไทยเป็นผู้ป่วยที่ต้องยืนสู้กับลมหนาว”“การยึดอำนาจเลื่อนไปไม่มี การสิ้นสุดและกองทัพก็เก่งแต่ตอบโต้เสียงวิพากษ์ใช้วิธีคุมตัวอาจารย์นักการ เมืองนักหนังสือพิมพ์และนักศึกษาขังในค่ายทหารและใช้วิธีเรียกว่าปรับ ทัศนคติ”การเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังของผู้ต้องหาหมิ่น
เมื่อเร็วๆนี้มีเสียงระบายความคับข้องใจตามโซเชียลมีเดียว่าขณะนี้ประเทศ ชาติปราศจากแนวนำทางการปกครองโดยเผด็จการทหารสร้างความหวาดกลัวให้สาธารณะ ข้อมูลของทางการตำรวจจำนวนอาชญากรรมลักขโมยและชิงทรัพย์ปีนี้มีถึง75,557 ครั้งเพิ่มขึ้น63เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้วจำนวนอาชญากรรมร้ายแรงเพิ่มขึ้น17 เปอร์เซ็นต์ปัญหาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องปวดหัวประจำวัน“ทุกๆวันเราต้องบ่น กันเรื่องการทำมาหากินฝืดเคือง”แม่ค้าขายส้มตำไก่ย่างคนหนึ่งเล่า“แย่ลงแย่ ลงแย่งทุกที”แม้กระทั่งนายหน้าเงินกู้นอกระบบที่คิดค่าดอกร้อยละ20ให้พ่อค้า แม่ค้าตามตลาดก็ยังบ่นนายเค.ซิงห์"เจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้’ยอมรับว่าเศรษฐกิจ ตกต่ำแบบนี้หมายถึงคนกู้ไปแล้วไม่มีปัญญาใช้คืนในย่านเสื้อผ้าของกรุงเทพฯ ร้านรวงพากันปิดตัวเองลงเป็นแถวเจ้าของร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งระบายความ รู้สึกว่าลูกค้าเดี๋ยวนี้จ่ายยากคิดแล้วคิดอีกก่อนจะตกลงใจซื้อ“มันเหมือน กับว่าผู้คนแย่งกันแทะกระดูก”แม่ค้าเสื้อพูดถึงเศรษฐกิจ“เมื่อก่อนเป็นเนื้อ ติดกระดูกเดี๋ยวนี้กลายเป็นกระดูกติดเศษเนื้อ"แม่ค้าเสื้่อผ้าพูดถึงการปก ครอบงของเผด็จการทหาร“ฉันไม่ฝันที่จะมีรัฐบาลคนดีเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วละ ผู้คนต้องการแค่เอาตัวรอดไปวันๆ”

ดร เพียงดิน รักไทย 1 ธันวาคม 2558 ตอน Mocking Jay กับ มดแดงล้มช้าง ใต...

ป.ป.ช.ไม่พบทุจริต′ราชภักดิ์′ !!!!

ป.ป.ช.ไม่พบทุจริต′ราชภักดิ์′ ยังไม่รับ ไต่สวนปม′ราชภักดิ์′ รอ3 หน่วยงานส่งผลสอบ ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริต ยังไม่ตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง เพราะยังไม่มีเหตุอันพึงสงสัย



นาย สรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า จากเดิมที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้สำนักงานป.ป.ช.รวบรวมข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์โดยตนมอบให้สำนักการข่าวและ กิจการพิเศษของสำนักงานป.ป.ช.ไปรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลในภาพรวมยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการ ทุจริตแต่ในส่วนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือ สตง. ได้ตรวจพบว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาลในการจัดสร้างกว่า 63 ล้านบาท เป็นหน้าที่สตง.ที่จะตรวจที่มาที่ไปของเงิน

ขณะเดียวกันได้มีผู้ที่อ้างว่าได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าวได้ไปร้องทุกข์กองบังคับการปราบปรามในวันที่24 พ.ย.ที่ผ่านมาและทางกระทรวงกลาโหมได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการจัดสร้างเช่นกัน ทางป.ป.ช.เห็นว่ามีหน่วยงานที่ตรวจสอบแล้วจึงมีมติให้สำนักงานป.ป.ช.ติดตามผลการตรวจสอบของทั้ง 3 หน่วยงาน ว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าอยู่ขอบเขตอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบของป.ป.ช.ได้หรือไม่ ซึ่งทางป.ป.ช.จะเข้าไปตรวจสอบได้ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือกระทำการทุจริตต่อหน้าที่

สำหรับการตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงกับเรื่องที่สังคมให้ความสนใจนายสรรเสริญกล่าวว่า การจัดตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงต้องปรากฏว่ามีเหตุอันพึงสงสัย จึงจะเข้าหลักเกณฑ์ที่ป.ป.ช.จะรับเรื่องมาดำเนินการได้ และประชาชนที่มาร้องเรียนสามารถทำได้แต่ต้องดูว่าเข้าเกณฑ์ 3 ข้อ ของป.ป.ช.หรือไม่ ได้แก่ มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ มีเหตุอันพึงสงสัยหรือไม่ อยู่ในอำนาจของป.ป.ช.หรือไม่ และกล่าวหาใคร มีหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งหากอยู่ในหลักเกณฑ์ก็สามารถรับเรื่องมาดำเนินการได้ไม่ต้องรอผลจาก 3 หน่วยงานข้างต้น โดยในขณะนี้ยังไม่มีผู้มาร้องเรียน

ส่วนที่กรณี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ออกมายอมรับว่ามีการหักค่าหัวคิวโรงหล่อจริง ขณะนี้ข้อมูลยังไม่มีเหตุอันพึงสงสัย เนื่องจากบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นเอกชน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนที่สำนักการข่าวป.ป.ช.พบว่าการประมูลต้นปาล์มราคากว่า 1 แสนที่แพงเกินจริงนั้น นายสรรเสริญ กล่าวว่า ยังเป็นเพียงข้อมูล เป็นหน้าที่คณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมในการตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง

Tags : ราชภักดิ์ อุทยานราชภักดิ์ ป.ป.ช.

ดร.ทักษิณ ชินวัตร สวัสดีปีใหม่ 2559



Download