Wednesday, March 18, 2015

ย้อนดูคำให้การน้องแหวน ที่มัดคอฆาตกรในเครื่องแบบอย่างแน่นหนา (เครดิต มติชนออนไลน์)

-คำเบิกความของ น.ส.ณัฏฐธิดา หรือ แหวน มีวังปลา มีรายละเอียดดังนี้



พยานเข้าไปตั้งเต็นท์ที่ราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 2553 ที่บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 19 พ.ค. 2553 พยาน น.ส.กมนเกด และนายอัครเดช ได้ย้ายเข้าไปใน วัดปทุมวนารามเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบภายในวัด

ขณะนั้นวัดปทุมฯ ถูกประกาศให้เป็นเขตอภัยทาน โดยมีนายมงคลเข้ามาสมทบที่เต็นท์พยาบาลเวลาประมาณ 14.00 น. โดยเต็นท์อยู่หน้าสหกรณ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทางออกของวัด
ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น. พยานได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านแยกเฉลิมเผ่า เมื่อเกิดเสียงปืน ผู้ชุมนุมที่อยู่บนถนนพระราม 1 ข้างนอกวัดได้วิ่งเข้าภายในวัด
และพยานได้เห็นนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อยู่ที่บริเวณตอม่อรางรถไฟฟ้า ถูกยิงล้มลง แต่นาย อัฐชัยยังลุกขึ้นได้และวิ่งมาล้มลงอีกครั้งที่ประตูวัด พยานและนายอัครเดช จึงเข้าไปช่วยพาเข้าเต็นท์เพื่อปฐมพยาบาล ขณะนั้นน.ส.กมนเกดไปเอาถังออกซิเจน

หลังจากที่นายอัฐชัยเสียชีวิตลงแล้วพยานได้ถ่ายรูปนายอัฐชัยไว้และเข้าไปถามหาญาติที่สวนป่าในวัด
ขณะกำลังเดินเข้าไปตามหาญาติของนายอัฐชัย มีผู้ชุมนุมวิ่งสวนพยานออกมาจากสวนป่าและขอยาล้างตากับพยาน ผู้ชุมนุมบอกกับพยานว่ามีแก๊สน้ำตาตกที่บริเวณห้องน้ำภายในสวนป่า ซึ่งมาจากทางด้านหลังของวัด
จากนั้นพยานร่วมกับ น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล ได้กลับไปที่เต็นท์ด้านหน้าวัดอีกครั้งเพื่อเก็บอุปกรณ์การแพทย์เพื่อย้ายเข้าไปในสวนป่า เนื่องจากคิดว่าบริเวณด้านหน้าวัดไม่ปลอดภัยแล้ว
ขณะเดินออกมาก็มีกระสุนยิงตกกระทบที่พื้นข้างหน้าของพยาน ทำให้พื้นตรงหน้าเป็นฝุ่นกระจายขึ้นมาและพื้นเป็นหลุมลงไป โดยระหว่างนี้มีผู้บาดเจ็บเข้ามาขอความช่วยเหลือกับพยาน 2 คน คือ นายกิตติชัย แข็งขัน ถูกยิงที่ฝ่ามือขวา หลัง และโคนขาขวา และนายบัวศรี ทุมมา ถูกยิงที่ส้นเท้า
ขณะที่ น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล กำลังเก็บของอยู่ในเต็นท์พยาบาลได้มีกระสุนสาดลงมา โดยขณะนั้นพยานอยู่ห่างจากเต็นท์ไปราว 5 เมตร เมื่อพยานได้ยินเสียงปืนจึงตะโกนบอกให้ทั้ง 3 คน หมอบ โดยไม่ได้หันกลับไปมองที่เต็นท์
จากนั้นค่อยหันกลับไปดูเห็นทุกคนหมอบอยู่จึงคิดว่าหมอบตามที่ตัวเองเตือน พยานเห็น น.ส.กมนเกด คลานตะเกียกตะกายจะไปที่รถกระบะที่จอดอยู่ด้านท้ายของเต็นท์ แต่ยังไปไม่ถึง น.ส.กมนเกด ก็หมอบนิ่งไป ส่วนนายมงคล พยานไม่เห็นว่ามีการขยับ นายอัครเดช เห็นยังขยับอยู่

ในระหว่างเกิดเหตุไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยได้ เนื่องจากมีการยิงลงมาจากทหารบนรางรถไฟฟ้าตลอด โดยยืนยันจากการที่ได้เห็นว่ามีประกายไฟเมื่อกระสุนกระทบกับเสาเหล็ก เห็นพื้นปูนเป็นฝุ่นฟุ้งและเป็นหลุมจากการตกกระทบของลูกกระสุน
ส่วนพยานยังหลบอยู่ที่กระถางต้นไม้ในบริเวณนั้นกับนักข่าวต่างประเทศ ชื่อนายแอนดรูว์ (พยานไม่ทราบนามสกุล) ขณะหลบอยู่นั้นนักข่าวได้ชันเข่าขึ้นมาทำให้ถูกยิงด้วย
จากนั้นพยานพยายามเข้าไปในสวนป่าเพื่อขอให้คนออกไปช่วย น.ส.กมนเกด นายอัครเดช และนายมงคล เข้ามาในสวนป่า ซึ่งตอนนั้นน.ส.กมนเกด และนายมงคลได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนนายอัครเดช ขณะที่ช่วยเข้าไปสวนป่ายังมีชีวิตอยู่
โดยเวลาขณะที่เข้าไปช่วยทั้ง 3 คนนั้นเป็นเวลาประมาณ 19.00 น. เมื่อช่วยเข้ามาได้แล้วเวลาประมาณ 20.00 น. นายอัครเดช จึงเสียชีวิต จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. จึงมีรถพยาบาลเข้ามารับคนเจ็บออกจากวัด ซึ่งมีการติดต่อไปตั้งแต่ราว 18.00 น. แล้ว พยานคิดว่าถ้ารถพยาบาลสามารถเข้ามาเร็วกว่านี้อาจจะสามารถช่วยชีวิตนายอัครเดช ไว้ได้

น.ส.ณัฏฐธิดา เบิกความยืนยันว่าในระหว่างเกิดเหตุการณ์พยานได้เห็นทหารบนรางรถไฟฟ้าด้วย 5 นาย โดยใส่ชุดลายพราง สวมหมวก ด้านหลังหมวกติดสติ๊กเกอร์สีชมพู และทหารบนรางรถไฟฟ้ามีการประทับปืนเล็งลงมาที่วัด แต่พยานไม่พบเห็นหรือได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากในวัด
พยานกล่าวด้วยว่าในวันนั้นตัวพยานเอง น.ส.กมนเกด นายอัครเดช มีปลอกแขนเครื่องหมายกาชาดใส่ไว้ชัดเจน ส่วนนายมงคล ใส่ชุดป่อเต็กตึ๊ง ตามหลักสากลแล้วจะต้องไม่ถูกทำร้ายจากทั้งสองฝ่าย

ขอบคุณข้อความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1426720809





No comments:

Post a Comment