Credit: http://thainewstip.blogspot.se/2015/03/blog-post_22.html?m=1
โดย ศุลี ศรีอีสานมีนาคม 2558
กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชื่อ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่จะมีผลใช้บังคับในเดือนมีนาคม 2558 เป็นต้นไป
เอกสารระบุว่า บริษัทอาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 25.25 ของสัมมากร จะซื้อหุ้นจำนวน 135,564,380 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ23.00 ของผู้ถือหุ้นลำดับที่1 และลำดับที่ 3 ภายในเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 48.25ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าในสมุดทะเบียนล่าสุดของ RPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ นายวิชัย ทองแตง นักกฎหมายชื่อดัง และเป็นนักลงทุนที่มีพฤติกรรมล่ากิจการคนสำคัญร่วมสมัย ที่คนทั่วไปเรียกเขาว่า “ทนายทักษิณ” การซื้อขายดังกล่าว ทำให้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า “SAMCO พุ่งชนเพดาน 29.31% รับวิชัย ทองแตงนำ RPC ถือหุ้นเพิ่ม” และชื่อของวิชัย ทองแตง ก็มีผลทำให้ราคาหุ้นวิ่งชนเพดานติดต่อกัน 3 วันรวด ก่อนจะโรยตัวลงเมื่อข้อเท็จจริงใหม่ระบุว่า ไม่มีชื่อของวิชัย เกี่ยวข้องอีกแล้ว
ข้อมูลผู้ถือ บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ณ วันที่ 27/02/2558
ส่วนผู้ขายตามที่ระบุในเอกสารชี้แจงนั้น หากดูสมุดทะเบียนของ SAMCO จะพบว่า ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ภูมิพล) ที่เดิมถือหุ้น 171,219,800 หุ้นหรือ 29.05% และ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (หลานสาว ลูกของอดีตพระพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ที่เคยถือหุ้น 40,891,400 หุ้น หรือ6.94 %
เข้อมูลผู้ถือหุ้น บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ณ วันที่ 27/02/2558
ผลลัพธ์จากการซื้อขายดังกล่าว ทำให้ หลังจากการซื้อขายแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ RPC ใน SAMCO จะเปลี่ยนไปจากเดิม 25.25% มาเป็น 48.25% ในขณะที่ สัดส่วนของกษัตริย์ภูมิพล จะลดลงจาก 29.05% เป็น 8.26% และหลานสาว จะลดจาก 6.94% เป็น 4.73% ซึ่งเท่ากับในทางปฏิบัติ แล้ว RPC จะเข้าไปถือหุ้นที่เข้าไปบริหารกิจการในSAMCO ได้อย่างเต็มที่ หลังจากวันที่ตกลงในสัญญาความน่าสนใจของการซื้อขายหุ้น SAMCO ครั้งนี้อยู่ที่ว่า มีเงื่อนไขระบุชัดถึงความได้เปรียบที่ผู้ขายมีต่อผู้ซื้ออย่างชัดเจนว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ RPC จะไม่ได้รับเงินปันผลจำนวน 0.15 บาท/หุ้น เนื่องจาก SAMCO ประกาศกำหนดสิทธิการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 26 ก.พ.58 เท่ากับว่า คนขายหุ้นของภูมิพลกับหลานสาว นอกจากขายหุ้นได้ราคาดีแล้ว ยังได้แถมพอรับเงินผันผลต่อแก ทั้งที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่ในมืออีกแล้ว เรียกว่า ภูมิพล และหลานสาว ใช้อภิสิทธิ์จนหยดสุดท้าย ก็ว่าได้คำถามที่คนไทยอยากถาม แต่ไม่กล้าเอ่ยปากในประเทศไทยอย่างเปิดเผย คือ1) การซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีแรงจูงใจอะไร ทั้งฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย2) ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิพล และหลานสาว กับวิชัย ทองแตง(ในนามของ RPC)
3) เหตุใดสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นหมายเลข 4 ของ SAMCO จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อทำความเข้าใจกับเงื่อนงำดังกล่าว จะต้องย้อนกลับไปทบทวนความเป็นมาของกิจการทั้งของ SAMCO และRPC เสียก่อน
SAMCO เดิมเป็นบริษัทส่วนตัวเพื่อรับจัดการหารายได้จากที่ดินในมือของทรัพย์สินส่วนกระองค์ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านสัมมากร บนที่ดินที่เป็นทุ่งนาเดิม ที่ถนนสุขาภิบาลสาย 3 (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของถนนรามคำแหง)ในเขตสะพานสูง กทม.มายาวนานหลายทศวรรษ
ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยกำลังเฟืองฟูอย่างรุนแรงจากกระแสโลกาภิวัตน์หลังยุคสงครามเย็น ผู้ถือหุ้นและกรรมการของSAMCO ได้ตัดสินใจนำแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนเพื่อระดมทุนจากตลาด ไปขยายกิจการเพื่อให้ทันกับการแข่งขัน
การยื่นของเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนครั้งนั้น ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอย่างง่ายดาย เพราะเพียงแค่เห็นชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการของบริษัท(ซึ่งส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าล้วนเป็นเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น) ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ทำการขายธุรกิจมากมายนักยังคงทำธุรกิจบนที่ดินแปลงเดิมที่มีอยู่มากมายต่อไป
ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกจนย่อยยับ SAMCO ก็ตกอยู่ในสภาพ”ชักหน้าไม่ถึงหลัง”เช่นเดียวกัน เพราะรายได้หดหาย ขาดสภาพคล่องทางการเงินรุนแรง ต้องประคองตัวให้รอดอย่างทุลักทุเล บางปีไม่มีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมาเลย มีรายได้ไม่ถึงปีละ 100 ล้านบาท ต้องพึ่งพารายได้จากสถานีบริการน้ำมันในโครงการมาจุนเจือไม่ให้ขาดทุน
หลังจากผ่านวิกฤตครั้งนั้น SAMCO ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงรู้จักดี ได้กลายเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีกิจกรรมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยมาก เพราะมีโมเดลธุรกิจที่พ้นยุคไปแล้ว แม้ระยะหลังจะฟื้นตัวมาสร้างรายได้ระดับ 1 พันล้านบาทต่อปี ก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทมีกำไรมากมาย
ในช่วง 10 ปีมานี้ ราคาหุ้นของ SAMCO ไม่เคยขึ้นสูงกว่าหุ้นละ 3 บาทเลย เพราะมีผลประกอบการที่ย่ำแย่มาโดยตลอด เหตุผลสำคัญ สามารถเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ กรรมการและผู้บริหารบริษัทนั้น ล้วนเป็น”เด็กเส้น”ในเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ช่ำชองทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ แม้กระทั่งในปัจจุบัน
รายชื่อกรรมการล่าสุด SAMCO
รายชื่อกรรมการ
|
ตำแหน่ง
|
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
|
กรรมการผู้จัดการ
|
นายพงส์ สารสิน
|
กรรมการ
|
พ.ต.ต.ชินภัทร สารสิน
|
กรรมการ
|
นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ
|
กรรมการ
|
นายกวี อังศวานนท์
|
กรรมการ
|
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล
|
กรรมการ
|
นายพิพิธ พิชัยศรทัต
|
กรรมการ
|
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
|
กรรมการอิสระ
|
นายอนุทิพย์ ไกรฤกษ์
|
กรรมการอิสระ
|
นายสิทธิชัย จันทราวดี
|
กรรมการอิสระ
|
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
|
กรรมการอิสระ
|
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
|
ประธานกรรมการตรวจสอบ
|
นายสิทธิชัย จันทราวดี
|
กรรมการตรวจสอบ
|
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
|
กรรมการตรวจสอบ
|
ทางด้าน RPC ก็มีที่มาค่อนข้างแปลก บริษัทดังกล่าว อาศัยสายสัมพันธ์กับผู้บริหารกลุ่ม ปตท.ในอดีต ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2538 โดยมีข้อตกลงว่า จะให้ปตท.เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบสำหรับโรงงานกลั่นน้ำมันชนิดพิเศษ ที่ไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมากลั่น แต่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานปิโตรเคมีในกลุ่มปตท. ที่เรียกว่า กากคอนเดนเสท (Condensate Residue หรือ CR)
การพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. ดำเนินการมีกำไรมาได้ด้วยดีมากกว่า15 ปี มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันใต้เครื่องหมายการค้า PURE นับ 100 แห่ง จนกระทั่งสามารถแต่งตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2546 ในปี 2555 กลุ่มปตท. ได้บอกเลิกสัญญาจัดส่งกากคอมเดนเสทซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสาหรับโรงกลั่นน้ามันของRPC ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ทำให้ RPC ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ ต้องปิดโรงงานทิ้งไป เหลือแต่ชื่อของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจำต้องดิ้นรนเพื่อให้มีทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ต่อไป โดยอาศัยเงินสดเดิมที่มีอยู่ในกิจการเพื่อดำเนินการต่อไป
RPC ได้เจรจากับกับ SAMCO เพื่อเข้าถือหุ้นบางส่วน หวังรักษาที่มาของรายได้ต่อไปให้ได้ โดย SAMCOทำการเพิ่มทุนในปี 2556 จาก 450 ล้านบาท เป็น 589.41 ล้านบาท เพื่อขายให้กับ RPC กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2
เงินที่ได้รับจาก RPC ทำให้ SAMCO สามารถเพิ่มโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้ เติบโตสร้างรายได้และกำไรให้เห็นชัดเจน แม้จะไม่มากนัก
No comments:
Post a Comment